ชัยชนะของหงส์แดงบนความคลาสสิกแบบคิงเคนนี่ !!!!!

ชัยชนะของหงส์แดงบนความคลาสสิกแบบคิงเคนนี่ !!!!!





ชัยชนะของหงส์แดงบนความคลาสสิกแบบคิงเคนนี่ !!!!!



..........วินาทีที่ ราอูล เมยเรเลส ซัดประตูชัยให้กับ ลิเวอร์พูล บุกมาเอาชนะเชลซี ถึงถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ตากล้องของสนามรู้งานทันทีว่าบุคคลที่ควรจับภาพไปหามากที่สุดไม่ใช่ใครนอกจาก เฟร์นานโด ตอร์เรส ศูนย์หน้าคนใหม่ของทัพสิงห์บลูนั่นเอง..

4 นาทีหลังจากที่ดาวเตะแก้มแดงถูกเปลี่ยนตัวออกไปทำให้สิ่งที่เห็นคือเมื่อ ลิเวอร์พูล ได้ประตูขึ้นนำหน้าตาของ ตอร์เรส ยังคงตกใจอย่างบอกไม่ถูกว่าต้นสังกัดใหม่ของเขาจะประสบกับเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นในเกมบิ๊กแมทประจำวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

อารมณ์หลัมจบเกมพูดได้คำเดียวครับว่าไม่ต้องแปลกใจถ้าจะมีคนรู้สึก โคตรสะใจ เพราะเป้าหมายที่ทุกคนโฟกัสไม่ใช่การพ่ายในบ้านของ เชลซี แต่ว่าเป็นการยัดเยียดกริยา เงิบ ให้กับ เฟร์นานโด ตอร์เรส ต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญมากที่สุด

ความรู้สึกมันเหมือนกับว่าประโยค ระวังจะเสียใจที่ย้ายออกไป มันทวีคูณน้ำหนักมากยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เหนือสิ่งอื่นใดคนที่ต้องอับอายมากกว่าคนอื่นก็คือตัว ตอร์เรส นั่นเอง.. เพราะว่าเล่นไม่ออก ความเข้าขากับเพื่อนใหม่ยังจูนไปกันได้ไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์

กอปรกับการที่ต้องแบกรับความกดดันอย่างสุดขีดเมื่อสงครามนอกสนามตนเองตกเป็นฝ่ายปราชัยมันเลยยิ่งทำให้สภาพจิตใจของ ตอร์เรส คงแย่อย่างบอกไม่ถูก.. เอาง่ายๆ ถ้าชั่วโมงนี้ เอลนินโญ่ เจอหน้าแฟนบอล เดอะ ค๊อป คนไหนก็คงเสียเซลฟ์ไปไม่มากก็น้อย

เห็นได้ชัดเลยว่าการผ่านบอลของ เชลซี ประสิทธิภาพดูดร็อปไปอย่างชัดเจนในครึ่งแรกที่พยายามสร้างระบบเพื่อต้อนรับการมาของ ตอร์เรส.. 14 นาที ไมเคิ่ล เอสเซียง ผ่านบอลเสียแบบง่ายๆ ถึง 3 ครั้งเพราะว่าเจ้าตัวพยายามที่จะเซ็ตบอลแบบไดเรคขึ้นไปข้างหน้าแต่ก็เจอแดนกลาง ลิเวอร์พูล สกัดกั้นได้บ่อยเกินเหตุ

เหนือสิ่งอื่นใดชายผู้ยับยั้งการทำเกมของ เชลซี นั้นมีนามว่า ลูคัส เลว่า ที่เล่นเป็นตัวหลักจนขาดไปไม่ได้เสียแล้วสำหรับ เดอะ ค็อป ซีซั่นนี้..

เท่าที่เห็นคือเป้าหมายหลักในการเล่นของทั้ง 2 ทีมนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง.. เจ้าบ้านเน้นการผ่านบอลขึ้นไปเพื่อให้กองหน้าลงต่ำมารับบอลทำชิ่งเคาะกลับไปมา ส่วนทีมเยือนเน้นการสาดยาวขึ้นไปด้านหน้าแล้วคนที่ทำหน้าที่จบสกอร์เก็บบอลได้ทุกครั้ง

คือรูปแบบการทำทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ เน้นการผ่านบอลสั้นๆ ช้าๆ แต่ว่าชัวร์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่นิยมการใช้ปีกธรรมชาติเพราะชื่นชอบการเติมบอลจากฟูลแบ็คมากกว่า.. จนบางทีเล่นง่ายๆ มากเกินไปความรู้สึกของแฟนบอลมันก็แสดงออกได้ว่า ช้าๆ ไม่ทันกิน

หากวันไหนถ้า เชลซี เจอกับทีมที่กล้าเปิดเกมรุกสู้ ดันไลน์ขึ้นสูงผมว่าแท็คติคนี้ของอันเช่จะใช้งานได้แจ่มมาก เพราะการผ่านบอลสั้นๆ ตรงกลางสนามมีวัตถุประสงค์คือเรียกตัวประกบมาเพื่อเสาะหาโอกาสให้ฟูลแบ็คเติมขึ้นไปรับบอลแล้วให้ จอห์น เทอร์รี่ โยนบอลยาวฝ่าดงหลุดกับดักล้ำหน้าไปถึงเส้นหลังได้นั่นเอง

เชลซี เล่นงานคู่แข่งแบบนี้บ่อยมาก.. มากจนมีให้เห็นจังหวะแบบนี้ทุกครั้งถ้าหากใครได้ดู เชลซี ลงเตะเป็นประจำ.. ซึ่งผมต้องขอชื่นชมการวางแผนของ เคนนี่ ดัลกิช จริงๆ ว่าอ่านเกมมาได้ขาดและปิดกั้นอาวุธท่าไม้ตายของอันเช่ได้อย่างเนียนสนิท

5 - 3 - 2 หรือว่า 3 - 5 - 2 คือฟอร์เมชั่นของ ลิเวอร์พูล ที่เราได้เห็นกันโดยที่มีเซ็นเตอร์ฮาร์ฟ 2 คนได้แก่ ดาเนี่ยล แอกเกอร์ กับ มาร์ติน สเคอเทลล์ ส่วนทางด้าน เจมี่ คาร์ราเกอร์ เล่นเป็นสวีปเปอร์เต็มสตรีม

วิงแบ็คด้านข้างคือ มาร์ติน เคลลี่ กับ เกล็น จอห์นสัน ซึ่งยืนสูงมันน่าจะเข้าทางแผนของ อันเชล็อตติ ที่คอยฉวยโอกาสจากแนวรับเสมอ.. แต่ทำไม เชลซี ถึงเจาะไม่ค่อยเข้าเลยละ ???

คำตอบคือ 3 ประสานเกมรับหงส์แดงยืนกันต่ำมาก ทำให้พื้นที่ด้านหลังแทบจะไม่มี แถมตรงกลางไม่ได้เล่นเกมเพรสซิ่งเหมือนกุนซือคนก่อนๆ แต่ปรับมายืนคุมโซนกันตั้งแต่กลางสนามแทน เราเลยได้เห็นการผ่านบอลของ เชลซี ที่มากจังหวะเกินไปจนบางทีเกิดอาการง่วงนอนแทรกเข้ามาอย่างบอกไม่ถูก

ดัลกิช พยายามปล่อยให้ เชลซี ครองบอลไปเรื่อยๆ แต่ก็ปิดทุกช่องทางในการเข้าทำ ภาพที่ออกมาเลยมีน้อยครั้งที่เกมบุกของเจ้าถิ่นจะหลุดไปถึงกรอบเขตโทษ..

แถมเวลาที่ เชลซี พยายามขึ้นบอลทางซ้าย สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด จะขยับตัวเองมาช่วย มาร์ติน เคลลี่ ให้รักษารูปแบบทั้งแมนมาร์คและการยืนโซนจนปิดช่องโหว่ริมเส้นได้หมดจด.. พร้อมทั้ง ราอูล เมยเรเลส จะลงมาซ้อนตำแหน่งที่ เจอร์ราร์ด หายไปจนมันเกิดความสมดุล

เช่นกัน.. ถ้าหากขึ้นทางฝั่งขวาก็จะเป็น มักซี่ โรดริเกซ ที่ไปช่วย เกล็น จอห์นสัน แล้วใช้ประโยชน์จากการวิ่งได้ตลอด 90 นาทีไม่มีเหนื่อยของ เดิร์ก เคาท์ ลงไปประจำการในส่วนที่หายไป.. เท่ากับสมบูรณ์แบบ

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นให้เห็น.. แต่เป็นจังหวะเพียง 2 ครั้งเท่านั้นที่มีการผิดพลาดจากริมเส้นนั่นก็คือช็อตที่ แอชลีย์ โคล ฉีกตัวประกบจาก มาร์ติน เคลลี่ ได้แล้วเติมขึ้นไปรับบอลยาวจากแนวลึกแต่ว่าเลือกครอสเข้าไปด้านในดันไม่มีใคร..

ส่วนอีกจังหวะนึงคือ โชเซ่ โบซิงวา แตะอ้อมตัว เกล็น จอห์นสัน แต่ก็ไม่ได้สามารถสร้างความหวือหวาได้มากเท่าที่ควรเพราะ 3 ประสานแนวรับยืนกันแน่นและเป็นระเบียบเหมือนน็อตที่ถูกขันมาอย่างดี

คือผมว่า เคนนี่ ดัลกิช วางแผนมาเล่นแบบเน้นไม่เสียประตูไว้ก่อน แต่ถ้าเกิดมีโอกาสทำประตูได้ก็ไม่ปล่อยให้ของดีๆ แบบนั้นหายไป.. เสมอถือว่าสอบผ่านแต่สามารถชนะได้ต้องชมว่า ลิเวอร์พูล เล่นได้แบบนั้นไม่แปลกใจที่มี 3 แต้มกลับบ้านครับ

โอเคเปอร์เซ็นต์การครองบอลของ เชลซี มีมากกว่าแต่ถ้าไม่นับจังหวะที่ ฟลอล็องต์ มาลูด้า หลุดไปซัดมุมแคบต้องบอกว่า เชลซี หาโอกาสทำประตูแบบจะๆ แทบไม่เจอ

ที่สำคัญ ลิเวอร์พูล เล่นบอลถึงเท้ากันน้อยครั้งแต่สามารถลุ้นจบสกอร์ได้ทุกขณะ.. เวลาที่ เจมี่ คาร์ราเกอร์ ได้บอลเพื่อนๆ จะหาที่ว่างเพื่อให้กองหลังผู้นี้ได้โยนบอลยาวไปยังจุดนัดพบเพื่อทำเกมกันต่อ

เกมรุกส่วนใหญ่เน้นเจาะทาง โชเซ่ โบซิงวา เป็นหลักเพราะแบ็คขวาโปรถีบรายนี้ไม่ใช่นักเตะประเภทเกมรับดีอยู่แล้ว.. เรียกว่าบู๊ล้างผลาญแต่เวลารับก็โดนหลอกจ่ายบอลตัดหลังให้ได้เห็นกันอยู่ประจำ

ที่สำคัญคือตัวออกบอลหลักๆ อย่าง เจอร์ราร์ด สามารถสร้างอิทธิพลให้กับทีมได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งในทางกลับกันผู้ที่มีออร่าในการสร้างสรรค์เกมของ เชลซี ดันไม่มีแสงไปสว่างที่ใครแม้แต่น้อย.. ขนาด แฟรงค์ แลมพาร์ด จอมทัพของทีมเองก็ยังไม่อาจสร้างความแตกต่างให้กับเกมได้

ไม่ใช่ แลมพาร์ด ฟอร์มตกหรือเล่นไม่ดีนะครับ เพียงแต่กองกลางพยายามสร้างโอกาสอยู่เสมอ ทว่ากองหน้าที่ยังจูนกันไม่ติดดันวิ่งซ้อนตำแหน่งกันหลายครั้งจนความต่อเนื่องไม่มี

น่าเสียดายที่ตอนเปลี่ยนเอา เฟร์นานโด ตอร์เรส ออกไปแล้วส่ง ซาโลมอน คาลู ลงมารูปเกมน่าจะธรรมชาติกว่าเดิมแต่ก็ดันพลาดท่าเสียประตูในจังหวะที่ เพ็ตเตอร์ เช็ก ผิดพลาดมันเลยทำให้โมเมนตั้มของเกมดูแย่เข้าไปกันใหญ่

สำหรับกองหน้าทีมชาติ สเปน ยังมีเวลาปรับตัวอยู่อีกนานครับ สำคัญเลยคือไม่ใช่การยิงประตูให้ได้แบบบ้านแตกสาแหรกขาดแต่ต้องเปลี่ยนนิสัยการเล่นให้เป็นทีมมากกว่าเดิม ทั้งจังหวะผ่านบอลและหาช่องต้องรู้หน้าที่ของระบบให้มากขึ้น

อันที่จริงบอกตามตรงว่าผมรู้สึกทึ่งกับแท็คติคของ เคนนี่ ดัลกิช เลยนะครับ.. ไม่คิดว่าบอลโบราณจะนำมาใช้งานได้ผลแบบพีคสุดขีดขนาดนี้.. กลายเป็นแทนที่จะได้ดูพาสแอนด์มูฟสวยๆ อย่างเดียวก็พอใจ.. แต่ว่าดูๆ ไปดันมีกลิ่นไอของความคลาสสิกเข้ามาแทรกจนเกิดความตื่นตา

ดูแล้วได้ความรู้สึกที่ดีครับ ถึงแม้ว่าทีมรักจะเป็นฝ่ายแพ้ก็ตาม..

มันเป็นเหมือนการกู้ศรัทธาของแฟนบอลกลับมาได้อีกครั้งหลังจากที่เปิดฉากฤดูกาลนี้ในยุคของ รอย ฮอดจ์สัน ได้ไม่สวยเหมือนที่คาด.. ความอัศจรรย์ใจมันเลยประกาศออกมาให้เห็นเมื่อตำนานของพวกเขานำอะไรต่างๆ มาใช้ใหม่จนหลายคนต้องตกตะลึง

สำหรับเกมนี้ต้องชมทั้งตัวนักเตะ ลิเวอร์พูล และทาง เคนนี่ ดัลกิช จริงๆ ละครับ ที่เตรียมตัวมาอย่างดี ได้ผลการแข่งขันเป็นที่น่าพอใจจนน่าจะสร้างแรงผลักดันให้กับทีมได้มาก

ส่วนทาง เชลซี ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งที่ผมชอบเป็นพิเศษ.. นั่นก็คือการเคลื่่อนที่หาตำแหน่งของ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ในจังหวะเตะมุมที่ได้เทคตัวโหม่งเน้นๆ ถึง 3 ครั้งใน 45 นาทีแรกโดยมี จอห์น เทอร์รี่ เป็นตัวหลอกวิ่งไปที่เสาใกล้

หากแต่ว่าเป็นเหตุการณ์อันไม่คาดคิดบนความแปลกของ อิวาโนวิช กับ เพ็ตเตอร์ เช็ก ที่เกือบจะเกิดสงครามกันเองในครึ่งแรกนั่นแหละ.. ที่นำมาอันซึ่งจุดเปลี่ยนของเกมนี้อย่างแท้จริง...


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์