ชนเชลซี!หงส์พลิกปืนระทึก4-2

ชนเชลซี!หงส์พลิกปืนระทึก4-2

สุดยอดแมทช์ทริลเลอร์แห่งฤดูกาลเมื่อลิเวอร์พูลพลิกเอาชนะอาร์เซนอลในช่วงท้ายเกมทั้งๆที่ส่อแววตกรอบหลังถูกตีเสมอ 2-2 ก่อนหมดเวลา 6 นาทีแต่สุดท้ายไรอัน บาเบิ้ลกลายเป็นเทพเจ้ามีส่วนสำคัญกับสองประตูให้ทีมชนะระทึกขวัญเข้าไปตัดเชือกกับซี้เก่าเชลซี

บรรยายเกมโดยลูกแม่กิ่ง

ผลฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

รอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดที่สอง

วันอังคารที่ 8 เมษายน 2551

ลิเวอร์พูล 4-2 อาร์เซนอล

(รวมผล 2 นัด ลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบด้วยประตูรวม 5-3)

สนาม :
แอนฟิลด์

ประตู : 0-1 อาบู ดิยาบี้ น.13, 1-1 ซามี่ ฮูเปีย น.30, 2-1 เฟร์นันโด ตอร์เรส น.69, 2-2 เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ น.84, 3-2 สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด น.85 (จุดโทษ), 4-2 ไรอัน บาเบิล น.90

ราฟา เบนิเตซ ทำเซอร์ไพรซ์เมื่อกล้าเปลี่ยนระบบ 4-2-3-1 ที่ได้ผลดีมาสิบนัดมาเป็น 4-4-2 โดยดร็อปไรอัน บาเบิลเป็นตัวสำรองและโยกสตีเฟ่น เจอร์ราร์ดไปยืนปีกซ้ายเพื่อให้ปีเตอร์ เคราช์ กองหน้าที่ขู่จะย้ายทีมได้ลงตัวจริงคู่กับเฟร์นันโด ตอร์เรสในแดนหน้า

ด้านอาร์เซนอลได้อาบู ดิยาบี้ พ้นโทษแบนกลับมายืนทำเกมทางกราบซ้ายในระบบหัวหอกเดี่ยว ทิ้งเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ไว้คนเดียวในแดนหน้า ส่วนโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ที่มีข่าวว่าเจ็บเล็กน้อยมีชื่อเป็นตัวสำรองเท่านั้น

ด้วยความกดดันเนื่องจากเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบจากสกอร์เสมอ 1-1 ในเกมแรกทำให้อาร์เซนอล เป็นฝ่ายเดินเกมรุกเข้าใส่ตั้งแต่นาทีแรกเลยทีเดียว ซึ่งแผงมิดฟิลด์ 5 คนของกันเนอร์สก็ทำหน้าที่ได้ดี สามารถขับเคลื่อนเกมได้อย่างวูบวาบน่ากลัว ตรงข้ามกับลิเวอร์พูลที่ดูจะจับต้นชนปลายไม่ถูก

และหลังจากที่ป่วนเกมรับจนรวนมาหลายครั้ง อาร์เซนอลก็มาได้ประตูขึ้นนำไปก่อนในนาทีที่ 13 จากจังหวะรุกต่อเนื่อง อเดบายอร์ ได้บอลหลุดเข้าไปในเขตโทษแต่โดนสกัดออกมาก่อน

ทว่าจังหวะต่อเนื่องนั้นอลอนโซ่เคลียร์บอลไม่ขาดไปถูกฟลามินี่ดักได้ ก่อนจะแทงออกทางขวาถึงคเล็บทำชิ่งกับเชสก์ เพื่อเปิดช่องก่อนเลือกจ่ายให้ดิยาบี้ ที่ยืนโล่งๆพาบอลเข้าไปยิงในเขตแฉลบเข่าเรน่า ที่ออกมาปิดเสาแรกไม่ดีเข้าไปอย่างง่ายดาย กันเนอร์สจึงได้สกอร์นำ 1-0 และเป็นประตูทีมเยือนที่ช่วยล้างความเสียเปรียบในเกมแรกด้วย

หงส์แดงยังเครื่องรวนเมื่อเจอบอลตามช่องที่เจาะกันรวดเร็วปรู๊ดปร๊าดที่นักเตะอาร์เซนอล โชว์ความคล่องตัวเล่นงานจนเจ้าถิ่นวิ่งไล่จับกันแทบไม่ทัน ดูไม่มีแววว่าจะกลับมาสู่เกมได้เลยเพราะหาจังหวะหวาดเสียวไม่ได้จริงๆ

แต่ลิเวอร์พูลก็มาเริ่มดึงเกมเข้าจังหวะตัวเองได้อย่างช้าๆ โดยอาศัยการขับเคลื่อนของเจอร์ราร์ดที่นัดนี้แม้จะเล่นบทไม่ถนัดแต่ก็ยังพอทำเกมได้ ซึ่งก็มีจังหวะเติมเกมมาได้สวยทางซ้ายก่อนจะเปิดบอลไปแฉลบขาตูเร่ ลูกเปลี่ยนทางทำให้อัลมูเนีย ต้องปัดทิ้งออกไป เป็นโอกาสที่สร้างความหวาดเสียวได้ครั้งแรกของทางเจ้าถิ่นที่ต้องรอจนถึงนาทีที่ 29

ทว่าในจังหวะต่อมา ลิเวอร์พูล ก็มาไล่ตีเสมอได้สำเร็จจากลูกเตะมุมนี้เอง อลอนโซ่ ปั่นเข้ามาที่เสาไกลถึงฮูเปีย ที่หลอกเซนเดอรอสจนเสียจังหวะก่อนทะยานโขกเต็มๆลูกพุ่งเข้าเสาไกลอย่างสุดยอด สกอร์กลับมาเท่ากันที่ 1-1 จนได้ และทำให้ทั้งสองทีมจำเป็นต้องการอีกหนึ่งประตูเป็นอย่างน้อยเพื่อเป็นผู้ชนะและเข้ารอบต่อไป

อย่างไรก็ดีประตูนี้ทำให้เกมกลับมาเข้าทางลิเวอร์พูลเต็มๆ โดยมาสเคราโน่และอลอนโซ่ที่ช่วงต้นเกมวิ่งไล่จับนักเตะอาร์เซนอลแทบไม่ทันก็เริ่มคุมจังหวะเกมได้เพียงแต่ก็ยังไม่มีจังหวะจะแจ้งชัดเจนอะไรขนาดนั้น

แต่ก็มีข่าวร้ายของอาร์เซนอลที่ต้องเสียฟลามินี่ ที่เกิดบาดเจ็บขึ้นมาในจังหวะปะทะกับเจอร์ราร์ดในนาทีที่ 39 ก่อนที่จะเล่นต่อไม่ไหวต้องเปลี่ยนให้จิลแบร์โต้ ซิลวา ลงมาแทน แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรกันอีก ทำให้จบครึ่งแรกด้วยการเสมอกัน 1-1

ครึ่งหลังกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ก็ดูเหมือนทางเจ้าถิ่นเครื่องจะยังร้อนต่อเนื่อง และมีโอกาสยิงทักทายก่อนทันทีจากปีเตอร์ เคราช์ ที่เกี่ยวบอลได้จากการจ่ายของอลอนโซ่ ก่อนจะกระดกบอลแต่งเข้าขวาและยิงจากแถวกรอบเขตโทษ แต่ลูกเบาและตรงตัวอัลมูเนีย

เคราช์กับตอร์เรส เริ่มจะมีบทมากขึ้นในเกมรุกของลิเวอร์พูล โดยรายแรกเกือบมีเฮงเมื่อออเรลิโอ ซัดบอลดาบสองไปติดขาลูกกระดอนติดไซด์หลุดกรอบแค่เล็กน้อย ขณะที่รายหลังเริ่มมีจังหวะป่วนแผงหลังอาร์เซนอลได้น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ

แต่อาร์เซนอล ที่นานๆจะได้บุกขึ้นมาทีก็เกือบทำได้เหมือนกัน ในจังหวะที่ตูเร่ แทงบอลให้เอบูเอ้ หลุดทะลุเข้าไปในเขตโทษได้สวยแล้วแต่มุมที่เหลือมันแคบเกินไปทำให้ยิงเข้าข้างตาข่ายอย่างน่าเสียดาย

เกมเริ่มที่จะช้าลงตามลำดับ แต่ลิเวอร์พูล ก็กลับมาเป็นฝ่ายแซงขึ้นนำได้จากลูกสูตรง่ายๆเมื่อเรนา เตะเปิดโด่งมาให้เคราช์โขกเช็ดต่อถึงตอร์เรส โชว์ลีลาเวิลด์คลาสพักบอลลงอย่างยอดเยี่ยมทำเอาเซนเดอรอสเสียหมาอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวสับไกเสียบสามเหลี่ยมอย่างสุดยอด ให้หงส์แดงตีปีกขึ้นนำ 2-1

อาร์เซนอล ต้องรีบบุกแล้วเพื่อเอาประตูเสมอให้ได้ซึ่งก็เพียงพอต่อการเข้ารอบตามกฎประตูทีมเยือนเช่นกันซึ่งเวนเกอร์ก็แก้เกมโดยส่งโรบิน ฟาน เพอร์ซี่กับธีโอ วัลคอตต์ลงมาเสริมเกม

และกันเนอร์สก็ทำเกมได้น่ากลัวขึ้นจริงๆ โดยมีจังหวะใกล้เคียงสุดๆที่เชสก์ จ่ายทะลุช่องให้อเดบายอร์ หลุดทะลุไปในเขตโทษได้ดวลกับเรน่าแล้ว แต่ยิงไม่เต็มใบทำให้ลูกปลิ้นออกข้างอย่างน่าเสียดาย

แต่กันเนอร์สก็บุกได้ไม่ต่อเนื่อง ลิเวอร์พูลยังยันอยู่แถมยังได้ความอันตรายของตอร์เรสที่เริ่มแผลงฤทธิ์น่ากลัวขึ้นทุกนาทีคอยป่วนเกมรับด้วย ก่อนที่ราฟาจะปรับหมากส่งบาเบิลมาแทนเคราช์ และกลับมาใช้ระบบ 4-2-3-1 เหมือนเดิมในช่วง 10 นาทีสุดท้าย

ทว่าเล่นไปเล่นมาถึงนาทีที่ 84 อาร์เซนอลก็มาได้ประตูตีเสมอจากการโซโล่สุดมหัศจรรย์ของวัลคอตต์ ที่ตัดบอลได้จากจังหวะลูกเตะมุมของลิเวอร์พูล ก่อนจะลากกว่า 80 หลาหลบผู้เล่นลิเวอร์พูล 4 คนไปจนถึงเขตโทษก่อนตบเข้ากลางมาให้อเดบายอร์ เข้าฮอสกินนิ่มหน้าประตูเข้าไปอย่างสวยงาม เป็นประตูตีเสมอ 2-2 ซึ่งหากจบสกอร์นี้อาร์เซนอลจะเป็นฝ่ายเข้ารอบทันที

แต่เกมก็พลิกผันแบบสุดจะทำใจในอีกแค่นาทีต่อมา เมื่อลิเวอร์พูลลุยกลับมา บาเบิลล็อกบอลพลิกหลุดเข้าไปในเขตโทษก่อนโดนตูเร่เข้ามาพัวพันจากด้านหลังจนปีกไอแอ้กซ์เสียหลักเซเป็นนกหงส์หยกก่อนล้มกลิ้งทำให้ผู้ตัดสินชี้ไปที่จุดโทษทันที ท่ามกลางอาการช็อกของนักเตะกันเนอร์สที่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

ด้านเจอร์ราร์ด ไม่สนใจเสียงประท้วงเอาบอลมาตั้งที่จุดก่อนจะซัดเสียบมุมซ้ายบนเข้าไปอย่างเฉียบขาด ทำให้ลิเวอร์พูลกลับขึ้นมานำอีกครั้งเป็น 3-2

อาร์เซนอล เล่นในช่วงเวลาที่เหลือเหมือนคนหัวใจสลายแม้จะพยายามเดินหน้าบุกแต่ก็ไม่มีหวังจะไล่ตีเสมอได้ ก่อนที่จะมาเสียประตูปิดท้ายอีกในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเมื่อเคาท์ เคลียร์บอลจากหน้าประตูก่อนเป็นรายการวิ่งมาราธอนแข่งกันของบาเบิลที่สปีดจากด้านหลังแซงเชสก์แล้วลากเข้าไปยิงเลียดเบียดเสาเข้าไปเป็นประตูปิดท้ายให้ "หงส์แดง" ชนะไปในเกมนี้ 4-2 ได้ไปพบกับเชลซีคู่ปรับหน้าเก่าอีกครั้งในรอบรองชนะเลิศ

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

ลิเวอร์พูล :
โฆเซ่ มานูเอล เรน่า 6, เจมี่ คาร์ราเกอร์ 8, มาร์ติน สเคอร์เทล 8, ซามี่ ฮูเปีย 7, ฟาบิโอ ออเรลิโอ 7, เดิร์ค เคาท์ 7(อัลบาโร่ อาร์เบลัว น.90) , ชาบี้ อลอนโซ่ 5, ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ 8, สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด 7, เฟร์นันโด ตอร์เรส 8*(ยอห์น อาร์เน่ ริเซ่ น.87) , ปีเตอร์ เคราช์ 7(ไรอัน บาเบิล น.78,8)

ใบเหลือง : -

อาร์เซนอล : มานูเอล อัลมูเนีย 5, โคโล ตูเร่ 6, วิลเลี่ยม กัลลาส 6, ฟิลิปป์ เซนเดอรอส 4, กาแอล กลิชี่ 5, เอ็มมานูเอล เอบูเอ้ 6(ธีโอ วัลคอตต์ น.72,8) , มาติเยอ ฟลามินี่ 7(จิลแบร์โต้ ซิลวา น.42,5) , ฟรานเชสก์ ฟาเบรกาส 7, อาบู ดิยาบี้ 7(โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ น.72,5) , อเล็กซานเดอร์ คเล็บ 7, เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ 7

ใบเหลือง : เซนเดอรอส น.17, ตูเร่ น.85

ผู้ตัดสิน : ปีเตอร์ โฟรดเฟลดท์ (สวีเดน)








































 

เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์