Paul Tomkins column : อ่านขาดฤดูกาลที่กำลังจะเปิดของลิเวอร์พูล



เหลืออีกไม่ถึงสัปดาห์แล้ว ความหวังและความน่าสะพรึงกลัววนเวียนมาที่จุดเดิมอีกครั้ง ผมวาดฝันไว้ในทางที่ดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหวาดหวั่นว่าฝันนั้นจะพังทลาย

ลิเวอร์พูลสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับผลตอบแทนจากโอกาสที่มี ถ้าความเชื่อมั่นได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากความพยายามในฤดูกาลที่แล้วอย่างรวดเร็ว ยิ่งถ้ามันเป็นช่วงเดือนแรกๆ ทุกอย่างก็มีความเป็นไปได้สูง

สองผู้เล่นหน้าใหม่ที่ไม่ต้องสงสัยในเรื่องคุณภาพ (จอห์นสันและอาควิลานี่) ได้เข้ามาเสริมความแกร่งให้กับ 11 ตัวหลักของลิเวอร์พูล แต่อีกหนึ่ง (อลองโซ่) ได้เดินจากไป

นอกจากนั้นฮูเปียและอาร์เบลัวก็จากไป ทั้งสองคนนี้ต้องถือว่าเป็นแค่กองสนับสนุนที่เดินออกไปหาหนทางใหม่ ซึ่งก็ยอดเยี่ยมมาก

อาควิลานี่จะเป็นผู้สร้างสิ่งใหม่ๆ เหมือนๆ กับเกล็น จอห์นสัน ทั้งคู่ดีกว่าคนที่ต้องมาแทนที่ประมาณ 1 ใน 3 เท่าของคนเดิม นั่นมันเยี่ยมมาก

การกลับมาของโวโรนินทำให้ลิเวอร์พูลมีทางเลือกในแผงกองหน้าเพิ่มขึ้น กองหน้ายูเครนจะมาช่วยทำประตูได้แน่แม้ไม่มาก และยังจะเป็นคนแอสซีสท์สได้ดีด้วย โดยเฉพาะถ้าได้ยืนอยู่หลังกองหน้าตัวเป้า เขาไม่ได้ประสบความล้มเหลวกับฟุตบอลอังกฤษ หรือล้มเหลวในการประสานงานกับเพื่อนร่วมทีม ดังนั้นถ้าใส่อะไรให้เขาสักหน่อยก็น่าจะได้

ดาวรุ่งบางคนมีวัยวุฒิที่มากขึ้นและฉลาดขึ้น (โดยเฉพาะอันซัว เอ็นก๊อก และลูคัสก็ด้วย) ไม่มีใครที่น่าเป็นห่วงว่าจะไม่ได้ลงหรือหายไป อายุทั้งทีมก็ใกล้ๆ กัน เพราะฮูเปียไม่อยู่แล้ว

นักเตะที่มีอายุมากที่สุดในทีมลิเวอร์พูลก็แค่ 31 (คาร์ราเกอร์) แถมยังไม่มีใครอายุถึง 30 ด้วยซ้ำนอกจากโวโรนินที่เพิ่งเป่าเทียนวันเกิดอายุครบ 30 ไปไม่นาน

อายุเฉลี่ยของ 11 ตัวจริงที่ดีที่สุด คือ 27.3 ใกล้คำว่าเพอร์เฟ็กต์มาก (ค่าเฉลี่ยของนักเตะในทีมที่ได้แชมป์ 17 ครั้งหลังสุดคือ 27.5 ซึ่งผมได้ค้นคว้าและตีพิมพ์ลงในหนังสือเล่มใหม่ของผม ‘Red Race') ถ้าเป็นค่าเฉลี่ยของนักเตะทุกคนในทีมก็คือ 26 ยกเว้นนักเตะเยาวชนที่กำลังดิ้นรนในการโชว์ให้ราฟาเห็น

ฟอร์มในช่วงพรีซีซั่นดูรวมๆ แล้วไม่ค่อยแจ่ม แต่นักเตะก็ได้ฝึกซ้อมกันอย่างเข้มข้น ราฟาต้องใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์ หลายๆ ครั้งที่การฝึกซ้อมไม่ได้เป็นการลงเล่น หาแต่เป็นการเพิ่มความฟิต ดังนั้นสำหรับนักเตะ ช่วงนี้เป็นเป็นช่วงที่ยาวนานมาก

ความเชื่อมั่นที่มากขึ้นหลังจากได้รับชัยชนะนั้นสวยงาม แต่มันไม่ใช่กับเกมส์ในช่วงพรีซีซั่นเลยซะทีเดียว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการเรียกความฟิต และการเตรียมพร้อมในการเจอกับทีมในหลายๆ รูปแบบ ประโยชน์ของเกมในช่วงพรีซีซั่นจึงจะไปตกอยู่กีบเกมลีกเกมแรก

ความยากของเกมกับสเปอร์สไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจ ราฟานั้นเปิดฤดูกาลด้วยเกมเยือนเป็นครั้งที่ 6 และนับว่าเป็นการเปิดฤดูกาลแบบซื้อล็อตเตอรี่เลยทีเดียว (ไม่มีทีมไหนที่ไม่ทำให้ตื่นเต้น) แต่หลังจากนั้นจนถึงเดือนตุลาคม ก่อนเกมที่จะเจอกับเชลซี จะเป็นช่วงที่เราควรเก็บแต้มไว้ให้ได้มากที่สุด

ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ลิเวอร์พูลพลาดโอกาสในการคว้าแชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้วแบบฉิวเฉียด แต่ผมไม่ว่าหรอก การเลื่อนจากอันดับที่ 4 โดยมีคะแนน 76 คะแนนไปเป็นอันดับที่ 1 โดยมีคะแนนไม่น้อยกว่า 90 คะแนนไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะกับการที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการคว้าแชมป์มาก่อน

ใช่แล้ว ปีก่อนเชลซีและแมนยูประสบปัญหาบางอย่าง แต่ลิเวอร์พูลก็ส่งคู่หูอย่างเจอร์ราร์ดและตอร์เรสลงเล่นคู่กันเพียง 14 ครั้งเท่านั้น ถ้าปีนี้ทั้งคู่ลงเล่นคู่กันซักหนึ่งเท่าตัวและไม่มีคีย์แมนคนไหนบาดเจ็บ ปีนี้จะเป็นปีของเราแน่ๆ

ผมคงต้องกล่าวถึงแมน ซิตี้สักหน่อย ผมเห็นการพัฒนาจากสิ่งที่พวกเขาลงทุนไป มันต่างจากเชลซีที่เคยลงทุนไป 100 ล้านปอนด์ในซัมเมอร์เดียว

เชลซียื่นซื้อสุดยอดหัวกะทิ อย่างเชก ร็อบเบน ดร็อกบา และเอสเซียง แต่แมน ซิตี้ซื้อแต่ตัวที่อยู่ในพรีเมียร์ชิพ

มันไม่แค่นั้น แมน ซิตี้พยายามที่จะดึงนักเตะจากบิ๊กโฟร์ จากอาร์เซนอลสอง จากแมนยูหนึ่ง แถมพยายามที่จะดึงเทอร์รี่จากเชลซีให้ได้

“ถ้าเอาชนะเขาไม่ได้ ก็ดึงเขามาเป็นพวก” แมน ซิตี้พยายามจะทำแบบนี้กับบิ๊กโฟร์ พวกเขาพยายามซื้อความสำเร็จ อย่างเดียวกับที่เชลซีเคยทำ เมื่อเงินถึงก็ซื้อเอา

แมนซิตี้ยังทำให้บิ๊กโฟร์อีกสองทีมอ่อนลง แถมทีมที่อยู่ในอันดับที่ 5 และ 6 ก็โดนด้วย อย่างเลสคอตต์ที่กำลังจะไปจากเอฟเวอร์ตันและแบร์รี่ที่ไปจากวิลล่าแล้ว

รู้ไหมว่าผมได้เจออะไรที่สำคัญที่สุดถ้าแมน ซิตี้แกร่งขึ้นจริงๆ แมนยูน่ะสิที่จะเจอเพื่อนบ้านที่แข็งแกร่ง แมนยูทีมที่เป็นคู่กัดกับลิเวอร์พูลมานาน ความแข็งแกร่งของแมน ซิตี้อาจเป็นผลดีต่อทีมของราฟา

ทั้งลิเวอร์พูล เชลซี และอาร์เซนอลก็จะช่วยเพิ่มแรงกดดันให้กับแมนยูอีกด้วย

ถ้ามันเป็นอย่างนั้น ลิเวอร์พูลจะสามารถเรียกร้องความยุติธรรมจากผลการแข่งขันที่ไม่ชัดเจนได้ ซึ่งเกมแบบนี้มันมีมากมายในความทรงจำเก่าๆ โดยเฉพาะกับการตัดสินใจที่ไม่แน่นอนของผู้ตัดสิน

เพราะแมนยูได้ประโยชน์จากเรื่องพรรค์นี้มากกว่าลิเวอร์พูลมานานแล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะกลัวว่าอันดับในตารางจะเปลี่ยนแปลง

แต่ต่อจากนี้แมน ซิตี้จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เฟอร์กี้จะต้องทำสงครามน้ำลายโจมตีมากขึ้น เพราะเขาไม่เคยทำแบบนั้นถ้ามันไร้ประโยชน์

อย่างน้อยแมน ซิตี้ก็จะตัดแต้มกับแมนยู และจะทำให้สองเกมส์ในฤดูกาลที่ทั้งคู่เจอกันเป็นเกมส์ที่ยากกว่าในฤดูกาลที่แล้วแน่นอน

อย่างดีที่สุด แมน ซิตี้จะพยายามทำผลงานให้ดีกว่าเพื่อนบ้าน แล้วถ้ามองยาวๆ แมน ซิตี้อาจจะทำผลงานให้ดีกว่าลิเวอร์พูลด้วย แต่ถ้ามันกลับกัน ทีมของมาร์ค ฮิวส์อาจจะไปจบเห่ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดก็ได้

เรารู้ดีจากประสบการณ์ที่มี ว่าแมน ซิตี้จะต้องเจออะไรเมื่อเป็นศัตรูกับแมนยู สงครามประสาทมันไม่น่าดูเลย

แน่นอน ความน่าจะเป็นที่แมน ซิตี้จะเป็นแชมป์พรีเมียร์ได้นั้นแทบไม่มีทาง อย่างที่ผมเคยเขียนในคอลั่มน์หลายๆ ครั้งตั้งแต่ปี 2005 ว่า ทีมที่จะคว้าแชมป์ต้องเคยได้อันดับรองแชมป์มาก่อน

แมน ซิตี้อาจจะเป็นคู่แข่งในการคว้าแชมป์ แต่คู่ต่อสู้ตัวจริงของพลพรรคแมนยูก็คือลิเวอร์พูล


ที่มา เวบทางการ
โดย number_9

>>
http://www.thekop.in.th/..........

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์