PAUL TOMKINS COLUMN : ความรู้สึกของผมหลังถล่มสโต๊ค



ผมจำไม่ได้แล้วว่า เมื่อไรกันที่ผลการแข่งขันออกมาแล้วมันทำให้เกิดปฏิกิริยากับผลการแข่งขันนั้นจนเกินควร ที่แน่ๆ วันที่ลิเวอร์พูลแพ้สเปอร์สเหตุการณ์แบบนั้นมันเกิดขึ้น และมันเกิดขึ้นอีกครั้งแบบสองเท่าเมื่อลิเวอร์พูลเอาชนะสโต๊คได้อย่างท่วมท้น

ครั้งสุดท้ายก่อนหน้านี้น่าจะเป็นเกมกับบาร์นลี่ย์ เมื่อปี 2005 เป็นเกมในศึกเอฟเอคัพ แต่ลิเวอร์พูลก็สมหวังกับแชมเปียนส์ลีกซึ่งก็สุดๆ เหมือนกัน แต่นั่นเป็นนัดสุดท้ายแล้วของฤดูกาล

ถ้าให้เทียบกันในแง่ของถ้วยแล้วพรีเมียร์ย่อมสำคัญกว่า การแพ้สเปอร์สมันเป็นการเสียประตูทั้งๆ ที่เพิ่งยิงไปได้แค่ 3 นาที ก็ไม่แปลกที่คุณๆ จะเซ็งไปตามๆ กัน

ไม่มีเกมไหนที่ถือว่าเร็วเกินไป และไม่มีฤดูกาลไหนที่ถือว่าเร็วเกินไป ปีที่แล้วในช่วงนี้ ลิเวอร์พูลเสียประตูให้แมนยูไปทั้งๆ ที่เพิ่งเล่นไปแค่สามนาทีเท่านั้น แต่หลังจากนั้นลิเวอร์พูลก็ทำได้ไม่เลว แถมตอนไปเยือนแมนยูลิเวอร์พูลก็โดนยิงนำก่อนอีก แต่ก็ชนะออกมาได้อย่างสวยงาม แบบนี้มันดีกว่าใช่ไหม ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดมันก็อยู่ในหลักการพื้นฐานแบบเดียวกัน

มันต้องชนะสโต๊คให้ได้ ความรู้สึกมันถึงจะเหมือนกับการยิงตีเสมอ 1-1 ได้ใน 5 นาทีแรก เกมถึงจะดำเนินต่อไปแบบสู้กันต่ออีกครั้ง ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณชนะแบบท่วมท้นแล้วดึงโมเมนตัมให้เข้ามาสู่ทีมของตัวเองได้นะ

(แน่นอน ถ้าเป็น ณ เวลานี้ ผลการแข่งขันระหว่างเบิร์นลี่ย์และแมนยูย่อมทำให้โมเมนตัมของลิเวอร์พูลเพิ่มไปในทางที่ดีขึ้น)

ในโลกของฟุตบอล ทุกๆ อย่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก ซึ่งมันก็เห็นได้อย่างชัดเจนในสัปดาห์นี้ หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทุกอย่างมันเปลี่ยนอย่างกับละคร ก็คือการเปิดตัวของลิเวอร์พูลที่มันแย่แบบสุดลิ่มทิ่มประตู แต่แล้วก็กลับมาได้แบบระเบิดเถิดเทิง พวกเราก็เลยมีอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ แบบสุดเหวี่ยง ถ้าเป็นแบบนี้คงต้องหายใจเข้าปอดให้ลึกๆ แล้วค่อยๆ คิดอย่างรอบคอบ

ในวันวาน (ที่เพิ่งจะผ่านมา) ฤดูกาลของลิเวอร์พูลได้จบลง และแมนยูซึ่งมีฟอร์มที่สุดยอดยังมีโรนัลโด้อยู่...

แต่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่มีนักเตะบาดเจ็บมากที่สุด มีตารางการแข่งขันที่โหดที่สุดในบรรดาคู่แข่ง แต่ได้ขึ้นไปอยู่ในอันดับที่สูงกว่าแมนยู รายชื่อนักเตะที่ทำประตูในฤดูกาลใหม่มี 5 คนที่ไม่ซ้ำกันเลย แถมยังมีประตูแจ้งเกิดรวมอยู่ในนั้นด้วย ทุกอย่างมันเกิดขึ้นมาเพราะแมนยูไม่สามารถยิงประตูทีมน้องใหม่ได้

ลิเวอร์พูลทำลายคำสาปกับสโต๊คได้ เกล็น จอห์นสันทำให้เห็นแล้วว่าเขาทำอะไรเพื่อทีมได้บ้าง ฆ่าคู่แข่งคาบ้าน สองเกมส์ที่ผ่านมาเราได้สามแต้มอันมีค่า ทั้งหมดต้องยกให้ประตูที่สุดยอดจากนักเตะ หนึ่งจากจุดโทษ หนึ่งจากการจบสกอร์ที่สวยงาม และที่เหลือจากการโยนเข้าสู่เป้าหมายหลังจากที่เลี้ยงล่อหลอกอย่างพริ้ว

ผมเคยได้อ่านบทความที่ไร้สาระอันหนึ่งในช่วงซัมเมอร์ ที่เล่าว่าเพราะเหตุใดเกล็น จอห์นสันจึงเล่นได้แต่ตำแหน่งฟูลแบ็ค แต่คนเขียนบทความนี้พลาดในบางจุด เขาไม่ได้เป็นกองหลังแบบดั้งเดิม เขาเป็นกองหลังกึ่งๆ ปีก ซึ่งเข้ามาใช้พื้นที่ที่เดิร์ก เคาท์ได้สร้างสรรเอาไว้ให้

วันนี้ผมได้เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์พาดหัวว่า “ฟูลแบ็คจะพาทีมคุณคว้าแชมป์ได้อย่างไร?” ก็ดีนะ ถ้าเป็นเขาเพียงคนเดียวย่อมทำไม่ได้ แต่ถ้าได้อ่านหลักการวางแท็คติกที่เขียนโดย Jonathan Wilson ซึ่งได้ระบุเอาไว้ว่า ฟูลแบ็คที่เติมเกมรุกนั้นเป็นอาวุธอันร้ายกาจของยอดทีมได้ แถมเขายังวิเคราะห์เจาะลึกลงไปอีก เนื่องจากเขาได้เรียนรู้จากเกม ไม่ใช่แค่โพล่งอะไรๆ ที่ไร้สาระออกมา

อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าจอห์นสันจะโชว์ฟอร์มเทพได้แบบปัจจุบันทันด่วนขนาดนี้ แต่เขาได้สร้างสิ่งที่ปีกหลายๆ คนทำไม่ได้ออกมาให้เห็นแล้ว

แต่...ตอนนี้ยังถือว่าเร็วไปมากๆๆ สำหรับจอห์นสันและฤดูกาลนี้

แต่เท่าที่ผมจำได้ เกมนี้ทำให้ผมรู้สึกพึงพอใจมากกว่าหลายๆ เกมส์ในความทรงจำของผม ปฏิกิริยาอันสุดโต่งซึ่งเกิดจากการหล่อหลอมความกดดัน ได้เกิดเป็นความสมดุลขึ้น

ผมไม่คิดหรอกนะว่า ถ้าเราเอาชนะสโต๊คไม่ได้ฤดูกาลของเราจะจบ แต่ผมอยากเห็นการปรับปรุงที่จะประกาศให้ได้รู้ว่าเราจะผ่านพ้นมันไปอย่างไร

ผมรู้จักตำนานหงส์หลายๆ คน พวกเขายังมีความรู้สึกและปฏิกิริยาอยู่ทั้งนั้น หลายๆ คนไม่เชื่อว่าเราจะไปเปลี่ยนแปลงปฎิกิริยาที่เกิดกับผลการแข่งขันได้ ในวัย 38 ผมจึงมีความทรงจำในยุคก่อนโลกดิจิตอล ตอนนั้นหนังสือพิมพ์ยังไม่รายงานรายละเอียดการแข่งขันในช่วงพรีซีซั่นเลย ถ้ามีโอกาสที่ดี เราอาจจะได้ดูการถ่ายทอดการแข่งขันผ่านทางทีวีเท่านั้น แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ อะไรนิดอะไรหน่อยก็เป็นข่าวโครมครามแล้ว

แต่มันก็ดีขึ้น การเข้าถึงฟุตบอลทำได้ง่ายขึ้นแล้ว (ถึงแม้จะไม่ฟรีก็เถอะ) ข้อมูลสามารถหาได้จากหลายๆ แหล่ง ถ้าสนใจในฟุตบอลและลิเวอร์พูล ไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่านี้อีกแล้ว

เกมฟุตบอลพัฒนาไปหลายๆ ทาง ถึงแม้จะมีสิ่งที่เป็นแง่ลบในสนามอยู่บ้าง (เช่นการพุ่งล้ม และเล่นละครตบตาผู้ตัดสิน) พวกที่เป็นแง่ลบนี่ก็พัฒนาไปเยอะ และมักจะเป็นอุปสรรคอยู่เสมอ

อินเตอร์เน็ตก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งข้อมูลของฟุตบอล แต่มันก็เหมือนกับเป็นที่ระบายของพวกที่ชอบกัดลิ้นตัวเอง ผมพูดแบบเปรียบเทียบนะ พวกบล็อกหรือเวบใหม่ๆ มีไว้สำหรับการใส่อารมณ์แรงๆ ซ้ำไปซ้ำมา

แต่ผมก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปบังคับหรือจำกัดอะไร ผมไม่อยากจะพลาดอะไรในสนามเลยแม้แต่หลุมในสนาม หรือเกมที่เริ่มต้นแล้วบอลเพิ่งจะอยู่แถวๆ เส้นครึ่งสนามไม่เกิน 5 หลา และผมไม่อยากจะพลาดทุกช็อตแม้เป็นเพียงแค่การส่งบอลกลับหลัง แต่ผมอยากจะพลาดวันที่ทีมแพ้แล้วถูกด่า มันไม่ใช่วันสิ้นโลกหรอก

หลังจบเกมกับสเปอร์สผมได้คุยกับ Chris Rowland ผู้ที่เคยชมเกมส์ที่ลิเวอร์พูลเข้าชิงในศึกยุโรปมาแล้วทั้ง 10 ครั้ง เขาได้เขียนหนังสือเล่าประสบการณ์ที่เฮย์เซลด้วย และเขาได้พูดกับผมว่า “ผมไม่เคยทำแบบนั้นเลย”

นอกจากนั้นผมยังได้คุยกับ Vic Gill ด้วย เขาเป็นลูกบุญธรรมของ Bill Shankly เขาแทบจะไม่เชื่อเลยว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แล้วเขาก็ขอบคุณผมเป็นการใหญ่ที่คอยช่วยแก้ต่างให้กับทีม

(ผมยังได้เห็นบทความที่เขียนในลักษณะเดียวกันนี้อีกสองที่ นั่นคือผลงานของ Hesbighesred ใน RAWK และผลงานของ Rory Smith ใน Telegraph)

ทั้ง Chris และ Vic เป็นผู้ที่ใช้อินเตอร์เน็ต แถมใช้เยอะเสียด้วย

แต่ก็เหมือนกับนักเตะนั่นแหละ ของแบบนี้ต้องการการฝึกหัด ซึ่งผมว่าอายุไม่น่าจะเกี่ยวเสียด้วย

ผมได้กลับไปพิจารณาความโง่งมของผมในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อินเตอร์เน็ตไม่ใช่ที่ที่จะมีแต่สิ่งที่เป็นแง่ลบและจะสั่งให้ใครเป็นอะไรก็ได้ ในสมัยผมไม่มีที่ที่จะไปแสดงความคิดเห็นที่ไหนเลย มีแต่เพื่อนร่วมห้องคนเดียวเท่านั้น แฟนที่เป็นกลุ่มเด็กๆ ไม่ได้เกรียนเพราะสื่อ พวกเขาเป็นแบบนั้นก็เพราะมันเป็นธรรมชาติของพวกเขา

ความกังวลของผมก็คือ การที่แฟนๆ ชอบออกมาด่าว่าทีมนั้นมันอาจจะส่งผลต่อการลุ้นแชมป์ได้ มันอาจจะวัดเป็นค่าตัวเลขไม่ได้ แต่ผมอยากให้แฟนๆ จำใส่สมองเอาไว้ ความกดดันที่เกิดจากการรอคอยแชมป์มานานแสนนานนั้นมีไว้เพื่อจัดการ ไม่ใช่มีไว้เพื่อระบาย

แต่ผมก็ได้พูดอยู่เสมอว่าผมเองก็ไม่มีคำตอบ ยังห่างไกลนัก ผมเคยถูกพิสูจน์มาเป็นระยะเวลานานแล้วว่าข้อสันนิษฐานของผมมันผิด มันยังไม่ชัดเจน ทฤษฎีนี้มันยังหลวมอยู่

ทำไมลิเวอร์พูลจึงแพ้สเปอร์ส ผมคงได้แต่เดา ผมไม่แน่ใจว่าผู้เล่นของเรายังดีไม่พอ สูตรการเล่นของเราแย่ หรือเรายิงประตูไม่พอเอง

คอมมอนเซนส์บอกผมว่านักเตะพวกนี้สามารถทำประตูกันได้อย่างเพียงพอ ฤดูกาลที่แล้วพวกเขาก็ทำได้ คอมมอนเซนส์บอกผมว่ากองหน้าไม่คม แล้วไงล่ะ ไอ้ของพวกนี้มันต้องเป็นแบบถาวรสิ ทำไม 4 วันต่อมาทุกอย่างมันถึงได้ดีขึ้นล่ะ...

ทำไมลิเวอร์พูลถึงรับส่งบอลกันได้ไม่ดีที่ไวท์ฮาร์ทเลน ทุกอย่างยังไม่เคลียร์ นักเตะชุดเดิมบวกเบนายูน แค่เปลี่ยนเป็นกองหลังสโต๊ค ซึ่งก็อยู่กันครบทุกคน

เบนิเตซเองก็เคยเขียนบทความแขวะอยู่ว่า นักเตะบางคนเล่นได้ดีตอนซ้อม แต่พอเล่นจริงมันไม่ใช่ ผมยังจำได้เลย เมื่อ 8 ปีที่แล้วเคยมีคนพูดว่า อิกอร์ บิสคาน นั้นสุดตรีนเวลาซ้อม “แล้วเวลาเล่นจริงมีดีตรงไหน?” ผมก็ตอบออกไปว่า ในสถานการณ์ที่ผมยืนอยู่ ผมคงตอบอะไรไม่ได้

มันก็ไม่ได้แปลว่าคนที่เล่นได้ดีเวลาซ้อม จะเล่นได้ดีตอนลงเป็นตัวจริง เราต้องเคารพการตัดสินใจของผู้จัดการทีม ผู้ซึ่งอยู่ท่ามกลางการฝึกซ้อมของนักเตะวันละ 8 ชั่วโมงทุกๆ วัน เข้าใจหรือยังว่าทำไมเราถึงต้องเชื่อเขา

มันคงปัญญาอ่อนถ้าจะไม่เชื่อว่ามีผู้เล่นบางคนที่เข้าสู่ทีมชุดใหญ่แล้วมีลักษณะแบบนั้น โดยเฉพาะนักเตะที่เป็นเยาวชนและพวกที่ย้ายมาจากลีกอื่น หน้าที่ของผู้จัดการทีมคือการส่งพวกเขาเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ แต่มันก็อาจต้องใช้เวลา

การสร้างความประทับใจในขณะฝึกซ้อมถือเป็นสเต็ปแรกของการพัฒนา แต่เวลาลงเล่นก็อาจจะเจอกับความกดดันขนาดหนัก นักเตะบางคนไม่เคยเลยที่จะเอาชนะความตื่นเต้นของตัวเองได้ แต่เมื่อให้เวลานานขึ้น พวกเขาเหล่านั้นก็อาจจะปรับตัวได้ ถ้าไม่ได้รับโอกาสเลย พวกเขาก็ไม่มีทางได้เกิด มันจะกลายเป็นสิ่งที่ผู้จัดการทีมต้องตัดสินใจอีกทีถ้านักเตะได้รับโอกาสแล้วล้มเหลว โปรดให้โอกาสผู้จัดการทีมได้เดาก่อนที่จะพ่นใส่เขาเถอะนะ

เท่าที่ผมจำได้ ตอนที่ผมอายุยังไม่ถึง 25 เลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นเวลาผมเห็นพวกวัยรุ่นใส่กางเกงฮิปฮอป หรือใส่บ๊อกเซอร์ ผมก็ว่ามันเท่ดี แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วเพราะผมมีอายุมากขึ้น

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แฟนๆ และนักข่าวที่ไม่รู้จริง และไม่ได้มีข้อเท็จจริงอยู่ในมือ จะเลิกเดาสุ่มๆ แล้วถล่มใส่ทีมซักที


ที่มา เวบทางการ
โดย number_9


>>
http://www.thekop.in.th/............

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์