หงส์ขอลุ้นแย่งที่สี่

หงส์ขอลุ้นแย่งที่สี่ / เคาท์ดาว์นปีใหม่เคาท์ดาว์นบิ๊กแซม




สวัสดีปีใหม่ 2551 ครับ จะทำอะไรก็รีบทำนะครับเวลาผ่านไปเร็วมาก ดิ้นรนหาเงินเลี้ยงชีพ+เดินทางก็หมดไปวันๆนึงแล้วแต่สำหรับคอกีฬาได้เปรียบกว่าชาวบานชาวช่องตรงที่เราสามารถหาอะไรคลายเครียดได้(หรือเครียดกว่าเดิม?)

แต่สงสัยจะเครียดกว่าเดิมครับเพราะผมขอเริ่มต้นเปิดหัวเรื่องลุยใส่หงส์แดงลิเวอร์พูลก่อนเลย

จริงๆแล้วเกมเสมอวีแกนเมื่อคืนวันพุธผมไม่อยากโทษราฟาเอล เบนิเตซมากนักเพราะแกชี้แจงถึงระบบ 4-1-4-1 หรือจะ 4-5-1 แล้วแต่จะเรียกซึ่งต่อจะใช้แท็คติกส์ไหนลิเวอร์พูลคงเล่นลำบากเพราะสตีฟ บรูซแกรู้ไส้รู้พุงการเล่นของเบนิเตซมาเป็นอย่างดี เรียกว่าตั้งแต่สมัยอยู่เบอร์มิงแฮมก็ขโมยแต้มทั้งเหย้าและเยือนอย่างสนุกสนาน

เกมในลักษณะนี้ปืนใหญ่จะชอบมากเพราะนักเตะเคลื่อนไหวอยู่ตลอด การที่แนวรับวีแกนจะปักหลักอยู่เฉยๆลำบากแน่แต่ลิเวอร์พูลจะเป็นคนละอย่างกัน แค่รับลึกๆอัดผู้เล่นคุมโซนระยะตั้งแต่ 35 ลงไปสองชั้นก็จบแล้วเนื่องจากลูกทีมเอลบอสเล่น 1-2 โดยวิ่งหันหน้าเข้าทำแทบไม่มีให้เห็นส่วนใหญ่รับบอลแล้วอยู่ในลักษณะหันหลังทำให้การออกบอลเป็นแนวขวางซะมากกว่า

แต่ที่บ่นๆมานี้ท้ายที่สุดแล้วก็ยังมีโอกาสซัดเหน่งๆหลายครั้งแต่ปัญหาเดิมๆคือไม่เด็ดขาดยังเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ซักที

สงสารก็กองหลังหงส์แดงที่รับภาระแบกความกดดันอย่างหนักมาเกือบทุกนัด ต้องคอยรักษาคลีนชีตจากพวกแนวรุกที่ไม่ยอมยิงและยิงไม่ขาด

ยิ่งสตีเฟ่น เจอร์ราร์ดที่เป็นความหวังสูงสุดรองจากเฟอร์นานโด ตอร์เรสเคลียร์บอลพลาดจนปล่อยให้ไอ้แมวน้ำไตตัส บรัมเบิ้ลตีเสมอในนาที 80 เล่นเอาแฟนๆจุกอกไปตามๆกัน

ในฐานะเดอะค็อปผมไม่ได้ถอดใจหรือพอไม่ชนะทีก็มาพูดแต่เรื่องเนกาทีฟ ผมกล้ายืนยันได้เลยครับว่าจากประสบการณ์ดูบอลมาหงส์แดงจะไม่มีวันได้เบียดลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้แน่นอน

พวกที่นั่งคำนวณตัวเลขในโปรแกรมที่เหลือๆอยู่พร้อมบวก 3 แต้มนัดตกค้างแล้วมโนภาพไปต่างๆนาๆก็อย่าไปจริงจังให้มากครับ ลิเวอร์พูลไม่เคยเป็นผู้ไล่ล่าด้วยความกระหายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตามเป็นสิบๆแต้มและป่านนี้ยังหาความสม่ำเสมอไม่ได้ก็ไม่รู้จะเอาความหวังโกยชัยชนะเพื่อไล่ทีมอื่นจากตรงไหน

เอาแค่สะสางปัญหาซึ่งกองสุมหัวให้มันเคลียร์ไปทีละจุดสองจุดก็ดีใจหายแล้ว ที่สำคัญคือราฟาต้องแปรสภาพนักเตะที่ไม่ค่อยได้ใช้งานให้เป็นสินทรัพย์ โมโม่ ซิสโซโก้,ปีเตอร์ เคราช์ซึ่งกลายเป็นส่วนเกินก็โละๆเอามาซื้อนักเตะเกรดเอจับลงสนามช่วยทีมให้เป็นเรื่องเป็นราวน่าจะเกิดประโยชน์สูงสุดมากกว่า

อีกจุดนึงที่น่าหนักใจแทนคือคอนต้นฤดูกาลหงส์แดงยังพอมีตัวยิงประตูสลับหน้ากันให้เห็นอยู่เรื่อยๆแต่ช่วงหลังๆมีแต่ชื่อตอร์เรส,ตอร์เรส,เจอร์ราร์ดหรือไม่ก็เจอร์ราร์ด,ตอร์เรส,เจอร์ราร์ด พอสองคนนี้ไม่ยิงก็ไม่มีใครอีกเลย มิดฟิลด์อย่างอลอนโซ่และมาสเคราโน่ก็ถูกฟิกซ์ตำแหน่งให้เล่นรับคอยโฮลดิ้งบอลทำให้ภาระเรื่องทำประตูตกอยู่ในวงจำกัด

ลูกคอร์เนอร์ลูกเซ็ตพีซก็ควรต้องหมั่นซ้อมเพื่อเปลี่ยนสกอร์ในสถานการณ์ที่มันไม่เป็นใจให้กลับมาได้เปรียบบ้าง ฯลฯ

เฮ้อ พูดจนเหนื่อยครับ นี่ก็เล่นในบ้านไปแล้ว 10 นัดเพิ่งชนะแค่ 4 แถมเจอบิ๊กโฟว์ด้วยกันในแอนฟิลด์จนหมดโควต้าแล้ว ผมว่าอีกไม่นานสถิตินอกบ้านที่ดีกว่าในบ้านจะค่อยๆกลายสภาพนะครับ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเล่นนอกบ้านได้ดีกว่าในบ้านทั้งฤดูกาลเพราะคู่แข่งเค้าก็เน้นเกมในบ้านช่วงครึ่งซีซั่นหลังแทบทั้งนั้น

ส่วนสตีฟ บรูซได้หนึ่งแต้มครั้งนี้ต้องบอกว่าไม่ได้บอกถึงสภาพโดยรวมซักเท่าไหร่เพราะคุณไม่มีทางเล่นอุดแบบนี้ได้ตลอดและยิ่งวันไหนต้องเจอกับทีมที่ไม่ใช่บิ๊กโฟว์ซึ่งต้องเปลี่ยนมาเล่นเกมรุกเพื่อหวังถึงสามแต้มหนีตกชั้นโอกาสแพ้ก็มีขึ้นตามศักยภาพ ฟุตบอลมันเป็นเช่นนี้แล..

ถ้าลิเวอร์พูลอยู่ในสภาพมืดมนแล้วผมเห็นใจทูนอาร์มี่มากกว่าหลายเท่าครับ เหมือนมีคำสาปที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา

ไม่ได้อวดเก่งนะครับแต่ตอนปิดฤดูกาลผมเคยเขียนคอลัมน์ว่าแซม อลาไดซ์จะเอาแท็คติกส์รอรับสวนกลับรวมทั้งใช้เกมกวนประสาทคู่ต่อสู้แล้วเล่นทำประตูจากเซ็ตพีซหรือฉาบฉวยที่เคยประสบความสำเร็จมาใช้กับนิวคาสเซิ่ลอย่างไรและทูนอาร์มี่เต็มใจรับสภาพกับการเล่นแบบนี้ได้มากแค่ไหน?

เคยมีเดอะทูนบอกว่าแชมป์ไม่ต้องการขอแค่ชนะในแต่ละสัปดาห์ด้วยการเล่นเอนเตอร์เทนก็แฮปปี้แล้ว ระบบ 4-4-2 เหมือนที่เควิน คีแกนเคยสร้างสาลิกาคือสิ่งที่คู่ควรเหมาะสมกับยอดทีมจากภาคอีสานมากที่สุด

ผมไม่ได้ตัดสินบิ๊กแซมเร็วเกินไปแต่อย่างน้อยๆศักยภาพนักเตะที่มีอยู่ก็น่าจะเหนียวแน่นและไม่เสียแต้มไปกลับให้ดาร์บี้ถึง 4 หรือถึงขนาดแพ้วีแกนและทีมระดับเดียวกันแบบไร้อนาคต

การปล่อยให้เรือใบที่ไม่เคยชนะใครนอกบ้านนับตั้งแต่เปิดสนามสรุปภาพรวมให้เราเห็นชัดเจนที่สุด และสถิติแพ้รวดสามนัดของนิวคาสเซิ่ลอาจไม่ได้หยุดไว้แค่นี้นะครับเพราะหลังเตะเอฟเอ คัพแล้วยังต้องไปเยือนแมนฯยูฯอีกและหลังจากเจอทีมเก่าโบลตันในบ้านตัวเองแล้วก็ต้องไปเยือนอาร์เซนอล

น่าเป็นห่วงว่าอลาไดซ์อาจอยู่ไม่ยืดเพราะอย่างที่ทราบๆกันดีว่าคนแต่งตั้งแกขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมคือตัวแสบอย่างเฟร็ดดี้ เชพเพิร์ดอดีตประธานสโมสรที่ตลอดมาไม่เคยสร้างสิ่งดีๆให้นิวคาสเซิ่ลเลยและนี่คือผลงานชิ้นโบว์แดงสุดท้ายที่แกทิ้งเอาไว้

กลับมาที่บิ๊กโฟว์ยังเป็นอาร์เซนอลที่พลาดถูกปอร์ทสมัธโบกปูนอุดจนยันเสมอนัดเดียวที่เหลือกวาดชัยชนะสามนัดที่เด็ดสุดคงไม่พ้นต้อนตือเอฟเวอร์ตัน 4-1 ทั้งๆที่ถูกนำไปก่อน

ลองสังเกตให้ดีอาร์แซน เวนเกอร์พยายามชูประเด็นเรื่องใจของลูกทีมผ่านสื่ออยู่เป็นประจำและการบุกมาทะลวงประตูท๊อฟฟี่ที่กำลังฟอร์มฮ็อตแบบนี้ถึงสี่ลูกต้องบอกว่าไม่ธรรมดา

เกมล่าสุดก็ปิดบัญชีเวสต์แฮมแบบไม่ต้องออกแรงมากเพราะได้ 2 ลูกตั้งแต่ไก่โห่ ใครเจอปืนใหญ่ถ้าร่างกายไม่ฟิตยืนระยะไม่ไหวแน่นอนครับ ต้องวิ่งตามตัวประกบไม่มีหยุดหายใจหายคอ

เห็นอาร์เซนอลยืนจ่าฝูงและเล่นบอลมีอนาคตแบบนี้แต่แฟนเดอะกันเนอร์สในเมืองไทยหลายคนยังไม่พอใจเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ถึงกับยกให้เป็นสากเคลื่อนวิ่งได้แต่สากที่ว่านี้ยิงไปแล้ว 12 ลูกแล้วนะจ๊ะ ตกลงนี่เป็นปัญหาใหญ่สุดในทีมแล้วใช่ม๊ะ? โหะๆ

ช่วงโปรแกรม 12 วันอัตรายต้องบอกว่าปิศาจแดงเล่นต่ำกว่ามาตรฐานเพราะนอกจากถูกเวสต์แฮมไล่บดจนแพ้ในที่สุดเกมชนะเบอร์มิงแฮมก็ดันใช้โอกาสเปลืองเรียกว่าน่าจะอัดซัก 3-4 ลูกได้ด้วยซ้ำแต่โชคดีที่ริโอ เฟอร์ดินานด์และเนมันย่า วิดิชจับคู่ได้แกร่งจนรักษาคลีนชีตนัดที่ 12 เอาไว้ได้

แต่เดี๋ยวมีคนแขวะผมอีกบอกลิเวอร์พูลชนะดาร์บี้หืดจับบอกเล่นห่วยไร้อนาคตพอแมนฯยูฯชนะหืดจับบอกทีมแชมป์ต้องมีเกมแบบนี้บ้าง

ก็ขอออกตัวไว้ก่อนเลยนะครับว่าผมมองภาพรวมตั้งแต่ต้นฤดูกาลบวกกับเหตุผลและสิ่งที่ฟ้องอยู่โทนโท่

ปิศาจแดงแพ้มากกว่าลิเวอร์พูลก็จริงแต่ไม่เคยต้องรอให้เกิดแรงกระตุ้นจากภาวะล้อมข้างก่อนแล้วค่อยมาไฟท์แบ็ค รวมทั้งปิดเกมอย่างมีประสิทธิภาพ(ไม่ใช่เน้นการครองบอลเอาเปอร์เซนต์เยอะๆ),มีการเข้าทำที่หลากหลายกว่าและจากนักเตะหลายคนมากกว่า

ที่ไม่น่าเชื่อก็คือเชลซีนี่แหละครับ ตอนแรกอาฟรัม แกรนต์เข้ามาแทนโจเซ่ มูรินโญ่เห็นหน้าแล้วก็ไม่คิดเลยว่าน้าคางคกจะรักษารูปทรงของทีมเอาไว้ได้ดีไม่แย่ไปกว่าเดิม

นี่ขนาดไม่มีดิดิเยร ดร็อกบา,แฟร็งค์ แลมพาร์ด,จอห์น เทอร์รี่และฟลอร็องต์ มาลูด้าแต่คัมแบ็คจากผลเสมอเป็นชัยชนะทั้งกับนิวคาสเซิ่ลและฟูแล่มได้ เกมกับสาลิกานี่ต้องบอกว่ามีโชคลูกท้ายเกมจริงๆ ล้ำหน้าเป็น 10 ไร่แต่ไลน์แมนมองไม่เห็นได้ยังไง

สำหรับนัดล่าสุดที่ชนะฟูแล่มต้องบอกว่าครึ่งแรกเป็นเกมที่ห่วยที่สุดนัดนึงของเชลซีแต่การพักครึ่งของฟุตบอลนอกจากให้น้ำให้ท่าตากลมให้เหงื่อแห้งแล้วยังเป็นการหยุดโมเมนตั้มของฝ่ายตรงข้ามและตั้งไข่ให้ตัวเองไปในตัว นั่นเป็นสาเหตุทำให้สิงห์ไฮโซพลิกแซงกลับมาเอาชนะเหมือนที่เราเห็นกันจนชินตา

นัดต่อไปมันแน่ครับเพราะได้เฝ้าสแตมฟอร์ด บริดจ์พบสเปอร์ส เกมนี้ออกได้สองหน้าครับคือการที่เป็นดาร์บี้แมทช์อาจทำให้เกมรับของไก่เดือยทองต้องเน้นรัดกุมขึ้นกว่าเดิมการเข้าบอลจะเร็วและหนักจนออกมาสูสีแต่ถ้าคางคกเห็นจุดอ่อนและเล่นงานแนวรับทีมเยือนด้วยลูกเซ็ตพีซเกมนี้อาจจบลงง่ายๆครับ

วันไหนสเปอร์สยิงเยอะถล่มทลายก็ถือว่าทำบุญมาเยอะรอดตัวไปแต่มันจะไม่เกิดขึ้นบ่อยแน่ที่เสียถึง 4 ประตูในหนึ่งเกมแล้วเดินออกจากสนามด้วยสามแต้มเหมือนวันที่ต้อนเรดดิ้ง 6-4

วันที่แพ้แอสตัน วิลล่าเป็นตัวอย่างที่ดีเพราะเสียประตูจากลูกเซ็ตพีซจากความไม่เข้าใจกันเองของแนวรับทำให้ความพยายามตลอดทั้งเกมและลูกตีเสมอของเจอร์เมน เดโฟไม่เพียงพอที่จะทำให้ทีมรอดพ้นจากความปราชัย

แต่ถ้ามองในแง่ดีผมว่าสเปอร์สมีความมั่นใจมากขึ้นกว่าสมัยมาร์ติน โยล การเบียดเอาชนะแมนฯซิตี้และปอร์ทสมัธอย่างฉิวเฉียดเมื่อต้นเดือนธันวาคมสร้างขวัญและกำลังใจให้นักเตะมากกว่าถล่มหายห่วง

อย่างน้อยๆ 6 นัดหลังเป็นชัยชนะถึง 4 จนไล่หลังนิวคาสเซิ่ลทีมอันดับ 11 เหลือแค่ 2 แต้มเท่านั้นเอง

ตอนนี้บิ๊กทรีเริ่มฉีกหนีเป็นวงกว้างออกไปเรื่อยๆทำให้ตอนนี้อันดับสี่ซึ่งเป็นโควต้าแย่งไปแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลหน้ากำลังขับเคี่ยวกันหลายทีมไล่ตั้งแต่ขาประจำอย่างลิเวอร์พูลที่ตามหลังเรือใบหนึ่งแต้มแต่เตะน้อยกว่าหนึ่งนัด

น่าจับตามองนะครับว่าสเวน โกรัน เอริคส์สันจะได้นักเตะใหม่คนไหนมาเสริมทัพแต่แว่วมาว่าจะเป็นพวกชื่อดังแบบแกะกล่องใช้งานได้ทันที ที่น่ากลัวอีกทีมคือเอฟเวอร์ตันที่ซีซั่นนี้แพ้แต่ทีมใหญ่คือเสร็จแมนฯยูฯไปกลับสองนัดเหย้าเยือน,แพ้อาร์เซนอล,วิลล่า,ลิเวอร์พูลแต่เวลาเจอพวกหมูๆลงไปส่วนใหญ่จะเก็บสามแต้มเนื้อๆเน้นๆ

หลังโปรแกรมเอฟเอ คัพจะได้ชิงดำกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในกูดิสัน พาร์ค เรียกว่าเป็นการตัดแต้มกันเองถ้าลูกทีมเดวิด มอยส์ชนะได้อาจพุ่งถึงที่สี่และมีโอกาสค่อนข้างสูงเพราะในวันเดียวกันลิเวอร์พูลต้องไปเยือนมิดเดิลสโบรห์นั่นเอง




โปรแกรมนัดต่อไป
วันเสาร์ที่ 12 มกราคม 2551


อาร์เซนอล พบ เบอร์มิงแฮม(22.00 น.)

แอสตัน วิลล่า พบ เรดดิ้ง(22.00 น.)

ดาร์บี้ พบ วีแกน(22.00 น.)

เอฟเวอร์ตัน พบ แมนฯซิตี้(22.00 น.)

มิดเดิลสโบรห์ พบ ลิเวอร์พูล(22.00 น.)

เวสต์แฮม พบ ฟูแล่ม(22.00 น.)

แมนฯยูฯ พบ นิวคาสเซิ่ล(00.15 น.)


วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม 2551
ซันเดอร์แลนด์ พบ ปอร์ทสมัธ(20.30 น.)

โบลตัน พบ แบล็คเบิร์น(23.00น.)


วันจันทร์ที่ 14 มกราคม 2551
เชลซี พบ สเปอร์ส(03.00 น.)

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์