เพชรฆาตหน้าหนวด นักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาลบนเกาะอังกฤษ

เอียนรัช

เอียน รัชเอียน รัช



 


ข้อมูลส่วนตัวชื่อเต็มIan James Rush, MBEวันเกิด20 ตุลาคม ค.ศ. 1961 (อายุ 47 ปี)สถานที่เกิดเซนต์ อะซาฟ เวลส์ส่วนสูง180 ซ.ม.ตำแหน่งกองหน้าสโมสรอาชีพ*ปีสโมสรลงเล่น
(ประตู)


1979–1980             
1980–1987
1987–1988
1988–1996
1996–1997
1997–1998
1998
1998–1999
1999–2000


เชสเตอร์ ซิตี้
ลิเวอร์พูล
ยูเวนตุส
ลิเวอร์พูล
ลีดส์ ยูไนเต็ด
นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด
เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (ยืมตัว)
เร็กซ์แฮม
ซิดนี่ย์ โอลิมปิก
*แสดงสถิติเฉพาะในลีก*034 0(18)
224 (139)
029 0(12)
245 0(90)
036 0(3)
010 00(2)
004 00(0)
018 00(0)
002 00(1)


602 (265)


ทีมชาติ1980–1996เวลส์078 0(28)บริหารทีม2004–2005เชสเตอร์ ซิตี้


* นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้ทีมสโมสร
นับเฉพาะลงเล่นในประเทศ


เอียน เจมส์ รัช ,เอ็มบีอี. อดีตกองหน้าทีมชาติเวลส์และทีมลิเวอร์พูลได้รับยกย่องให้เป็นกองหน้าชั้นนำของยุโรป ในยุค80และต้นยุค90 ดาวเตะชาวเวลส์ผู้นี้ถือเป็นนักเตะที่มองเกมอย่างยอดเยี่ยมและยิงประตูได้เฉียบคมอย่างมาก โดยเอียน รัชกับคู่หูของเขา เคนนี่ ดัลกลิช ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นคู่กองหน้าที่ดีที่สุดในวงการฟุตบอลอังกฤษ


ในระดับสโมสรเอียน รัชเคยค้าแข้งกับสโมสรชั้นนำอย่างลิเวอร์พูล,ยูเวนตุส,ลีดส์ ยูไนเต็ดและนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดก่อนจะเลิกเล่นฟุตบอลที่ออสเตรเลียในปี2000


 ประวัติ



//



 ประวัติ



[ เชสเตอร์ ซิตี้: 1979–1980


เอียน รัช เกิดเมื่อวันที่20 ตุลาคม ค.ศ. 1961 ที่เซนต์ อะซาฟ ในเวลส์ หลังออกจากโรงเรียนในปี 1978 รัชก็เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพด้วยการเข้าร่วมทีมเชสเตอร์ ซิตี้ในระดับดิวิชั่น3(เดิม) หลังฉายแววเด่นตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้เขาได้ลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ในปลายฤดูกาล 1978-1979 โดยเขาประเดิมลงสนามนัดแรกในตำแหน่งกองกลาง เมื่อเดือนเมษายน ปี1979 ในเกมส์พบเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ซึ่งจบลงที่ผลเสมอ 2-2 แต่หลังจากนั้นในฤดูกาล1979-1980 เขาก็ได้เล่นตำแหน่งกองหน้าโดยยิงประตูแรกในอาชีพนักฟุตบอลได้ในเกมส์ที่เชสเตอร์ ซิตี้เสมอกับจิลลิ่งแฮม 2-2 เมื่อวันที่15 กันยายน 1979 และเดือนต่อมาเขาก็ยึดตำแหน่งตัวจริงได้เมื่อสโมสรตัดสินใจขายเอียน เอ็ดเวิร์ดส์กองหน้าของทีมออกไปให้เร็กซ์แฮม


ชื่อของเอียน รัชเริ่มถูกพูดถึงเมื่อเป็นผู้ยิงประตูให้เชสเตอร์ ซิตี้บุกเอาชนะนิวคาสเซิ่ลไปอย่างพลิกล็อก 2–0 ในเอฟเอคัพ รอบ3 ในเดือนมกราคม ปี 1980 ก่อนจะมาแพ้อิปสวิช ทาว์นในอีก2รอบต่อมามา แมตช์สุดท้ายของเขาและเชสเตอร์ ซิตี้คือเกมส์ที่เปิดบ้านพบกับเซาธ์เอนด์ ยูไนเต็ดที่สนามซีแลนด์ โร้ดสนามเหย้าของทีมในเวลานั้น เมื่อวันที่ 26 เมษายน 1980 ซึ่งถึงแม้เอียน รัชจะยิงประตูไม่ได้แต่ทีมก็ชนะ 2-1 และจบฤดูกาลด้วยอันดับ 9 ในดิวิชั่น3


แม้จะได้รับความสนใจจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้แต่กลับเป็นลิเวอร์พูลที่สามารถคว้าตัวดาวรุ่งแห่งเวลส์ผู้นี้มาได้เมื่อบ็อบ เพลสลีย์กุนซือของลิเวอร์พูลซื้อตัวเขามาจากเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยราคา ถึง300,000 ปอนด์ และเป็นสถิติการขายผู้เล่นที่ได้ค่าตัวสูงสุดของเชสเตอร์ ซิตี้ที่ยืนยาวมาจนถึง28ปี


ตลอดช่วงเวลาของเขาที่เชสเตอร์ ซิตี้ เขาอยู่ภายใต้การคุมทีมของอลัน โอ๊คส์ และผู้ที่มีส่วนอย่างยิ่งในการพัฒนาฟอร์มการเล่นของเขาก็คือคลิฟฟ์ เซียร์โค้ชทีมเยาวชนของเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งภายหลังอีก20ปีต่อมาทั้งคู่ได้ร่วมงานกันอีกครั้งในทีมงานสตาฟฟ์โค้ชของเร็กซ์แฮม



 ลิเวอร์พูล: 1980–1987


เอียน รัชได้เล่นให้ทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ปี 1980 ก่อนที่เขาจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในฐานะผู้เล่นของลิเวอร์พูล โดยการลงสนามนัดแรกของเขาให้ลิเวอร์พูลต้องรอถึงวันที่ 13 ธันวาคม ปีเดียวกัน ในเกมส์ดิวิชั่น1 พบกับทีมอิปสวิช ทาวน์


รัชใช้เวลาบางช่วงในฤดูกาลแรกของเขากับลิเวอร์พูลในทีมสำรองเพื่อศึกษาแนวทางของทีม และต้องฝึกฝนไม่ต่างจากดาวรุ่งคนอื่นก่อนจะก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่


การฝึกในทีมสำรองของสโมสรเป็นเรื่องยากและไม่ใช่สิ่งที่เขาชื่นชอบนัก และดาวรุ่งในทีมมีความต้องการย้ายทีมเพื่อให้ได้ลงเล่นในทีมชุดแรกรวมถึงตัวของเขาเองด้วย แต่ภายหลังเมื่อได้พูดคุยและได้รับการชี้แนะจากสุดยอดกุนซืออย่างบ็อบ เพลสลี่ ที่แนะให้เขามีความเห็นแก่ตัวมากขึ้นเวลาได้บอลทำให้เขาตัดสินใจอยู่เพื่อสู้แย่งตำแหน่งในทีมต่อไป


และประตูแรกของเขาก็มาถึงในวันที่ 30 กันยายน 1981 ในยูโรเปี้ยน คัพ รอบแรก นัดที่2 ที่สนามแอนด์ฟิลด์ในเกมส์พบสโมสร โอลุน ซึ่งในนัดแรกลิเวอร์พูลบุกไปชนะมา 1-0 และในนัดที่2ลิเวอร์พูลก็ไล่ถล่มทีมจากฟินแลนด์ไป 7–0 รัชยิงประตูได้ในนาทีที่67 และในฤดูกาลนั้นเขาปิดฉากอย่างสวยหรูด้วยตำแหน่งดาวซัลโวของสโมสร เมื่อยิงไป30ลูก จากการลงสนาม49เมื่อรวมทุกรายการ และเป็นการยิงในลีกถึง17ประตู และพาสโมสรคว้าแชมป์ลีกในที่สุด


รัช ในช่วงที่โด่งดังถึงขีดสุดกับลิเวอร์พูล


ฤดูกาล 1982-1983 เขาได้รับเลือกให้เป็นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งพีเอฟเอ หลังนำลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดและชนะเลิศถ้วยลีกคัพ โดยยิงในลีกไป24ประตูและมีแต้มห่างจากอันดับ2อย่างวัตฟอร์ดถึง11คะแนน โดยในวันที่ 6 พฤศจิกายน 1982 เอียน รัช ยิงคนเดียว 4ประตูใส่เอฟเวอร์ตันในชัยชนะ5-0 ทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่ยิงประตูในเมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้แมตช์มากที่สุดใน1นัด


ฤดูกาล 1983-1984 เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอเมื่อพาสโมสรคว้าแชมป์ลีกสูงสุดและชนะเลิศลีก คัพ อีกทั้งยังคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพได้อย่างยิ่งใหญ่ และเขายังได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษอีก1รางวัล ในฤดูกาลนั้นเขายิงระเบิดถึง 47 ประตูจากการลงสนาม 65 นัด ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกโดยมีคะแนนห่างจากเซาธ์แฮมป์ตัน 3คะแนน และชนะคู่ปรับอย่างเอฟเวอร์ตัน1-0 ในนัดรี-เพลย์ลีก คัพรอบชิงชนะเลิศ รวมถึงคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่4ให้สโมสร ด้วยการพาทีมชนะโรม่า 4–2 ในการดวลจุดโทษ(รัช ยิงนำ3-2 ก่อนที่ บรู๊ซ กร็อบเบลล่า จะงัดลีลาการเซฟจุดโทษด้วยการเต้นเหมือนปลาหมึกที่เป็นตำนานในเวลาต่อมา) หลังจากเสมอในเวลา 1-1


ฤดูกาล 1984–85 เป็นปีที่ไม่สู้ดีนักของลิเวอร์พูลเมื่อสโมสรปราศจากตำแหน่งแชมป์เป็นครั้งแรกในรอบ10ปี โดยในนัดชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพกับยูเวนตุสที่สนามเฮย์เซลล์ สเตเดี้ยม,กรุงบรัซเซลส์,ประเทศเบลเยี่ยม เป็นแมตช์ที่เกิดโศกนาฎกรรมขึ้นเมื่อกองเชียร์ของทั้ง2ทีมก่อเรื่องวิวาทกันจนมีผู้บาดเจ็บกว่า350คนและแฟนบอลของยูเวนตุสเสียชีวิตถึง39 คน และส่งผลกระทบถึงสภาพจิตใจของนักเตะทั้ง2ทีม เกมกลับมาแข่งใหม่และจบลงด้วยชัยชนะ1-0 ของยูเวนตุส และลิเวอร์พูลเสียแชมป์ลีกให้เอฟเวอร์ตันคู่แข่ง หลังจบฤดูกาลทีมจากอังกฤษถูกแบนในเวทีระดับยุโรปถึง5ปีจากเหตุการณ์ที่สนามเฮย์เซลส์ ทำให้เอฟเวอร์ตันที่คว้าแชมป์ลีกได้ในปีนั้นไม่ได้ลงแข่งยูโรเปี้ยน คัพในปีต่อมา


ฤดูกาล 1985–86 ลิเวอร์พูลกลับมาสร้างผลงานอีกครั้ง เอียน รัชยิงคนเดียว 2ประตูพาทีมชนะเซาธ์แฮมป์ตัน 2-0ในเกมส์เอฟเอคัพรอบรองชนะเลิศ ที่สนามไวท์ ฮาร์ท เลน และเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปพบกับคู่ปรับสำคัญอย่างเอฟเวอร์ตัน ซึ่งในเกมส์นัดดังกล่าวถือเป็นเมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพครั้งแรก ทำให้ทั้ง2ทีมต้องการชัยชนะในนัดนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยลิเวอร์พูลซึ่งคว้าแชมป์ลีกได้เรียบร้อยแล้วต้องการชัยชนะเพื่อเป็นทีมที่5ที่คว้าดับเบิ้ลแชมป์ คือได้แชมป์ลีกและเอฟเอคัพ ในขณะที่เอฟเวอร์ตันก็ต้องการถ้วยนี้และที่สำคัญพวกเขาต้องการขัดขวางลิเวอร์พูลในการทำสถิติดังกล่าว โดยเกมส์จบครึ่งแรกพร้อมกับความได้เปรียบของเอฟเวอร์ตันเมื่อได้ประตูขึ้นนำ 1-0จากประตูของแกรี่ ลินิเกอร์ศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษของทีม


ครึ่งหลังทีมหงษ์แดงภายใต้การคุมทีมของเคนนี่ ดัลกลิชที่รับตำแหน่งผู้เล่น-ผู้จัดการทีมก็กลับมาเล่นด้วยฟอร์มที่ผิดกับครึ่งแรก และเอียน รัชก็สามารถยิงประตูตีเสมอให้ทีมได้สำเร็จในนาทีที่ 57 จากการผ่านบอลของแยน โมลบี้และเข้าไปยิงผ่านบ็อบบี้ มิมส์ผู้รักษาประตูเอฟเวอร์ตันอย่างสบายๆ และอีก6นาทีต่อมา โมลบี้ผู้เป็นหัวใจสำคัญในแนวรุกของลิเวอร์พูลได้บอลในเขตโทษของเอฟเวอร์ตันก่อนจะผ่านบอลอย่างสุดยอดให้เคร็ก จอห์นสตันยิงประตูให้ลิเวอร์พูลกลับมาแซงเป็น 2-1 เกมสู้กันอย่างสูสีจนกระทั่งนาทีที่84 รัชก็มายิงประตูชัยได้สำเร็จพร้อมกับพาลิเวอร์พูลคว้าดับเบิ้ลแชมป์หนแรกในประวัติศาสตร์สโมสรและได้รับรางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์หลังจบเกมส์



 ยูเวนตุส : 1987–1988 ฤดูกาลอันล้มเหลวที่อิตาลี


หลังได้รับความสนใจจากทีมยักษ์ใหญ่หลายทีมในยุโรป ทำให้เขาเริ่มคิดถึงการย้ายออกจากถิ่นแอนด์ฟิลด์ในช่วงต้นฤดูกาล1986-1987 และในวันที่ 1 กรกฎาคม 1987 เขาก็ถูกขายให้สโมสรยูเวนตุส มหาอำนาจลูกหนังในแดนอิตาลีด้วยค่าตัว3ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นการย้ายทีมไปเล่นให้กับคู่กรณีในเกมส์แห่งความหายนะที่สนามเฮย์เซลส์ ทั้ง2สโมสรฟื้นฟูความสัมพันธ์กันอีกครั้งและมีการเตะแมตช์กระชับมิตรของทั้ง2สโมสร และดูเหมือนว่ามันจะเป็นความท้าทายใหม่ของรัช ในการที่จะต้องถูกกองหลังประกบตายในลีกอิตาลี แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่ประสบความสำเร็จที่นี่ เมื่อยิงได้เพียง12ประตูจาก29นัด และพบกับช่วงเวลายากลำบากในตูริน


หลังเล่นที่อิตาลีอยู่1ฤดูกาลเขาก็ย้ายกลับถิ่นแอนด์ฟิลด์อีกครั้งด้วยค่าตัวถึง 2ล้าน7แสนปอนด์ในวันที่18 สิงหาคม 1988และเป็นสถิติค่าตัวแพงที่สุดในเกาะอังกฤษ ก่อนที่สถิติดังกล่าวจะถูกทำลายในอีก3ปีต่อมา



 ช่วงที่2ในถิ่นแอนด์ฟิลด์ 1988–1996


หลังกลับมาแอนด์ฟิลด์ รัชต้องแย่งตำแหน่งกองหน้าในทีมกับปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์ และ จอห์น อัลดริดจ์ ผู้มาแทนที่เขาในช่วงที่ผ่านมา และด้วยสไตล์การเล่นที่คล้ายคลึงกันทำให้พวกเขาไม่สามารถลงเล่นพร้อมกันหมดได้ จอห์น อัลดริดจ์เริ่มฤดูกาลอย่างยอดเยี่ยมด้วยการยิงประตูที่สม่ำเสมอ จึงทำให้นักเตะจากเวลส์ต้องนั่งอยู่ที่ม้านั่งสำรอง และดูเหมือนรัชจะกลับมาเข้าฟอร์มอีกครั้งในเกมส์ที่ยิง2ประตูใส่เอฟเวอร์ตัน พาทีมชนะ3-2 ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ปี 1989 โดยเขาเป็นตัวสำรองที่ลงมาแทนจอห์น อัลดริดจ์ ผู้ซึ่งเป็นคนยิงประตูแรกให้ทีมในช่วงต้นเกมส์ก่อนที่เกมส์จะจบลงในช่วงเวลาปรกติที่1-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษรัชพาทีมขึ้นนำอีกครั้ง จากนั้นสจ๊วต แมคคอลล์กองกลางของเอฟเวอร์ตันยิงประตูตีเสมอ2-2 แต่รัชผู้กลับมายิงประตูเฉียบคมก็ยิงประตูชัยในนาทีที่103 พาสโมสรคว้าแชมป์อย่างสุดตื่นเต้น


รัช กลับมาแอนด์ฟิลด์อีกครั้งหนึ่ง


ฤดูกาล 1989–90 รัชได้แชมป์ลีกอีกครั้งมันเป็นครั้งที่5ของเขาและเป็นการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งสุดท้าย โดยลิเวอร์พูลจบฤดูกาลด้วยการทำแต้มห่างจากอันดับ2อย่างแอสตัน วิลล่าถึง9แต้ม และเอียน รัชยิง 18ประตู จาก 36นัด และสโมสรพลาดการคว้าดับเบิ้ลแชมป์อีกสมัยอย่างน่าเสียดายเมื่อพลาดท่าแพ้ต่อคริสตัล พาเลซไปแบบเหลือเชื่อ


ในปี 1992 เขาคว้าแชมป์เอฟเอคัพสมันที่3ของตนเองได้สำเร็จ เมื่อเป็นผู้ยิงประตูที่2ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพในชัยชนะเหนือซันเดอร์แลนด์ 2-0 ที่สนามเวมบลีย์ ในลีกเขาต้องพบการปัญหาอาการบาดเจ็บทำให้ได้ลงสนามในลีกเพียง18นัดและยิงได้เพียง 3ประตูเท่านั้น แต่หนึ่งในนั้นเป็นการยิงประตูใส่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและพาทีมคว้าชัยชนะในแมตช์ดังกล่าว


รัช คว้าแชมป์ลีกคัพ สมัยที่5ของตัวเองในปี 1995 เมื่อ2ประตูของสตีฟ แม็คมานามานดับฝันโบลตัน ที่หวังจะสร้างปาฏิหารย์ แต่กลับแพ้ 2-1 และเขาปิดฉากกับสโมสรในเอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศปี 1996 กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยรัชเป็นผู้เล่นตัวสำรอง แต่จบลงด้วยความผิดหวังเมื่อเอริก กองโตนายิงประตูชัยพาทีมปีศาจแดงคว้าแชมป์ในท้ายที่สุด


โดยรวมแล้วรัชยิงไป 346 ประตูในการลงสนามในทีมชุดใหญ่เกือบ 658 นัด ถึงแม้ว่า ในลีก เขาจะยิงได้น้อยกว่าสถิติสโมสรของโรเจอร์ ฮันท์ที่ทำได้ 245 ประตูก็ตามแต่นั่นเป็นสถิติเดียวที่รัชเป็นรองในสโมสร ในถ้วยเอฟเอคัพเขายิงให้ลิเวอร์พุล 39 ลูก(จากทั้งหมด44ลูก) ในขณะที่ประตูรวมในนัดชิงชนะเลิศเขาทำได้ 5 ประตู (2ประตูในปี 1986 และ 1989 และ 1 ประตูในปี 1992 ทั้งหมดส่งผลให้ลิเวอร์พูลได้แชมป์) นับเป็นสถิติรายบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล รัชยังเป็นเจ้าของยิงประตูในลีก คัพมากที่สุดด้วยจำนวน 49 ประตู เช่นเดียวกับเจฟฟ์ เฮิร์สท์ และเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ชนะการแข่งขันรายการดังกล่าวถึง 5 ครั้ง รวมถึงเป็นกัปตันทีมพาลิเวอร์พูลลงแข่งกับโบลตันในนัดชิงชนะเลิศปี 1995 เขายิง 10 ประตูในการลงสนามที่เวมบลีย์ทั้งหมด 18 นัด


นอกจากนี้รัชยังคว้าแชมป์ลีกกับลิเวอร์พูลได้ 5 สมัย ยูโรเปี้ยน คัพอีก 1 สมัย และได้รับราลวัลเครื่องราชย์ชั้นเอ็มบีอี รัชทำสถิติยิงประตูในศึกเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ แมตช์กับเอฟเวอร์ตันได้ทั้งหมด 25 ประตู ได้รับรางวัลรองเท้าทองคำแห่งยุโรป ด้วยการยิง 32 ประตูในลีกในปี 1984 และได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี จาก 2 สถาบัน



 ปลายชีวิตค้าแข้ง 1996–2000


รัชต้องกล่าวอำลาถิ่นแอนฟิลด์ในวันที่20 พฤษภาคม 1996 เมื่อเขาย้ายไปร่วมทีมลีดส์ ยูไนเต็ด รัชที่ล่วงเลยจุดสุดยอดมาแล้วยิงได้3ประตูจากการลงเล่น 36 นัดในพรีเมียร์ลีก และถูกปล่อยตัวเมื่อจบฤดูกาล


รัช ในชุดนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด


ในฤดูกาล 1996-1997 เขาย้ายไปร่วมทีม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดในสัญญาระยะสั้น1ปี และช่วงหลังคริสต์มาสเขาต้องสูญเสียตำแหน่งตัวจริงในทีม เมื่ออลัน เชียเรอร์หายจากอาการบาดเจ็บ อย่างไรก็ตามเขายิงประตูสำคัญให้ทีมได้ในนัดที่ชนะเอฟเวอร์ตัน 1-0 ในเอฟเอคัพ รอบ3 ซึ่งเป็นประตูที่43ของเขาในรายการนี้


เขาย้ายไปร่วมทีมเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดในแบบยืมตัวในช่วงสั้นๆ ก่อนจะย้ายไปเล่นให้เร็กซ์แฮมด้วยอายุ 37ปี รัชลงสนามในลีก18 นัดแรกแต่ยิงประตูไม่ได้และย้ายไปเล่นตำแหน่งกองกลางจบจบฤดูกาล และเขาเลิกเล่นฟุตบอลอย่างเป้นทางการที่ออสเตรเลียกับทีมซิดนี่ย์ โอลิมปิกในปี 2000 ในวัย38 ปี



 ผู้จัดการทีมเชสเตอร์ ฤดูกาล 2004–2005 เอียน รัชในมาดผู้จัดการทีมเชสเตอร์ ซิตี้


หลังจากทำหน้าที่โค้ชตำแหน่งกองหน้าให้ลิเวอร์พูลภายใต้การคุมทีมของเชราร์ อุลลิเย่ร์ ในปี2003 เขาทำหน้าที่ผู้จัดการทีมเป็นครั้งแรกกับสโมสรเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งในขณะนั้นเป็นทีมที่ลงเล่นในลีกทู เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2004 โดยสโมสรต้องพบงานช้างหลังจากกลับคืนสู่ฟุตบอลลีกอีกครั้ง และรัชต้องพบกับความยากลำบากในอาชีพนี้เมื่อนำทีมออกไปแพ้ 3-1 ต่อบอสตัน ยูไนเต็ดในการคุมทีมนัดแรกของเขา และหลังจากนั้นทีมของเขาก็ไม่แพ้ใครนานถึง2เดือน และทีมเข้าสู่เอฟเอคัพรอบ3 แต่อย่างไรก็ตามเขายังคงถูกตั้งคำถามจากมาร์ค ลอว์เรนสันนักวิจารณ์ชื่อดังซึ่งเคยเป็นอดีตเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูลของเขา ถึงประสบการณ์ในการเป็นโค้ชและความสามารถในการวางแทคติก


หลังจากที่รัชปฏิเสธการทำหน้าที่คุมทีมชาติเวลส์ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 2004 ทีมของเขาก็มีผลงานย่ำแย่ลงอย่างมาก และรัชถูกวิจารณ์ถึงแทคติกการเล่นที่เน้นการใช้พละกำลังและการโยนบอลยาวของเขา ต่อมาเขาถูกกดดันจากประธานสโมสร หลังจากที่ออกไปแพ้ให้กับทีมเพื่อนบ้านอย่างชรูว์สบิวรี่ ทาวน์แบบน่าอับอายถึง5-0 ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2005 แต่เขาก็ยังไม่ลาออก และเมื่อทีมแพ้ต่อดาร์ลิงตัน 1-0 ในเดือน เมษายน รัชก็ถึงคราวต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อผลงานที่ย่ำแย่ของทีม



บทบาทอื่นๆตั้งแต่ปี 2005 ถึงปัจจุบัน


ในปี 2005 รัชในวัย 43ปี ทบทวนการกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งกับสโมสรเดอะ นิว เซนต์ส หลังจากที่ทีมจากเวลส์ทีมนี้สามารถยันเสมอกับลิเวอร์พูลในรอบคัดเลือกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกได้ แต่ต่อมาความคิดนี้ได้ถูกคัดค้านจากหลายๆฝ่าย


เดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน เอียน รัช ก็ได้เข้ามาทำงานในแวดวงโทรทัศน์ในบทบาทของผู้วิเคราะห์เกมส์ทางสถานีอีเอสพีเอ็น และเขายังรับบทเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้รายงานข่าวทางสกาย สปอร์ตอีกด้วย


ในวันที่ 27 เมษายน 2006 รัชลงสนามในแมตช์ฟุตบอลการกุศล มาริน่า-ดัลกลิช โดยเป็นการลงแข่งขันของทีมคู่ชิงชนะเลิศเอฟเอคัพปี1986 คือลิเวอร์พูลกับเอฟเวอร์ตัน ซึ่งการแข่งขันดังกล่าวเป็นการหารายได้ช่วยเหลือเกี่ยวกับการวิจัยมะเร็งเต้านม เมื่อมาริน่าภรรยาของเคนนี่ ดัลกลิชล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม


ปี 2006 เอียน รัชได้รับเลือเข้าสู่หอเกียรติยศของฟุตบอลอังกฤษจากความสำเร็จที่เขาได้รับในสนามฟุตบอล


นอกจากนี้รัชยัง รับใช้ลิเวอร์พูลโดยการลงเตะแมตช์พิเศษเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ให้สโมสรในทีมชุดต่างๆ เช่นทีมลิเวอร์พูลชุดโอลด์ บอยและชุดมาสเตอร์ 5 เอ-ไซด์


วันที่ 21 สิงหาคม 2008 เอียน รัชออกหนังสืออัตชีวประวัติของตนเองในชื่อหนังสือว่า Rush: The Autobiography



 ผลงานในฐานะผู้เล่น



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์