มารู้จักนักบอลในตำนานกันทั้งผีและหงส์

มารู้จักนักบอลในตำนานกันทั้งผีและหงส์ฝันดีทุกดูแลสุขภาพกันด้วยทั้งแฟนผีแฟนหงส์

เคนนี ดัลกลิช





เคนนี ดัลกลิชถูกเปรียบเปรยว่าเป็นเครื่องจักรไล่ล่าความสำเร็จ ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะตลอดการเล่นฟุตบอล 22 ปีของเค้า ดัลกลิชคว้า แชมป์มาครองได้ถึง 26 รายการใหญ่ๆ และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะในเชิงฟุตบอลคนหนึ่งด้วย

ดัลกลิชมีคุณสมบัติที่กองหน้าชั้นดีพึงจะมีไม่ว่าจะเป็นด้านทักษะ, การคอนโทรลบอล, ความเร็ว และการยิงประตูที่เฉียบขาด ครั้งหนึ่งเซอร์บ็อบ เพสลีย์เคยยกย่องเค้าว่า เค้าเปรียบได้กับคอนดักเตอร์ในวงออร์เคสตร้าดีๆนี่เอง






แฟ้มประวัติเคนนี ดัลกลิช
ชื่อจริง: เคนเน็ธ แมทธีสัน เจเรไมห์ ดัลกลิช
เกิดเมื่อ: 4 มีนาคม 1951
สถานที่เกิด: ดัลมาน็อค, กลาสโกว์; สก็อตแลนด์
ส่วนสูง: 5 ฟุต 8 นิ้ว (1.73 เซนติเมตร)
ตำแหน่ง: กองหน้า









ประวัติการเล่นฟุตบอล
ในสมัยเริ่มต้นเล่นฟุตบอลดัลกลิชหวังที่จะเริ่มต้นเล่นให้กับทีมเรนเยอร์ส เนื่องจากเค้าเกิดย่านดัลมาร์น็อคซึ่งเป็นฝั่งตะวันออกของเมือง กลาสโกว์ซึ่งเป็นแถบที่ตั้งของทีมเรนเยอร์ส และเค้าเคยไปทดสอบฝีเท้ากับทีมเรนเยอร์สแต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมา ก่อนที่จะเดินทางไปทดสอบฝีเท้ากับเวสต์แฮม ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูลแต่ก็ไม่ผ่านการทดสอบเหมือนเดิม และก็เป็นทีมเซลติกที่เห็นแววของเค้าและจับเค้ามาฝึกฝีเท้าจนเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดของสก็อตแลนด์

เค้าเซ็นต์สัญญากับทีมเซลติกเมื่อพฤษภาคม 1967 ในยุคของแจ็ค สตีนซึ่งเป็นหนึ่งในตำนานผู้จัดการทีมของเซลติก โดยในเซลติกเค้ามีเพื่อนสนิทคือฌอน ฟาลเลน แต่การลงสนามครั้งแรกของดัลกลิชไม่ใช่กับเซลติกแต่เป็นกับทีมคัมเบอร์นัลด์ ยูไนเต็ดซึ่งดัลกลิชถูกยืมตัวมาใช้งาน โดยเค้ายิงได้ถึง 37 ประตูในฤดูกาล 1967/68

ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทีมเซลติกถือว่าเป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดของสก็อตแลนด์ และยังเป็นทีมฟุตบอลทีมแรกบนเกาะอังกฤษที่สามารถคว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพมาครองได้อีกด้วยหลังจากเอาชนะอินเตอร์ มิลานที่สนามเอสตาริโอ เนชั่นแนล ในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ในปี 1966/67 โดยดัลกลิชได้เข้ามาร่วมทีมหลังจากนั้น 3 ปี, โดยดัลกลิชทำสถิติยิงประตูมากที่สุดในเกมเดียวในเกมที่เซลติกชนะคิลมาร์น็อคไป 7-2 ซึ่งดัลกลิชทำประตูได้ถึง 6 ประตู

ในฤดูกาล 1971/72 ดัลกลิชเป็นคนทำประตูแรกในชัยชนะเหนือทีมเรนเยอร์ส 2-0 ที่สนามไอบร็อกซ์ ในรายการสก็อตติช ลีก คัพ โดยในฤดูกาลนั้นเค้าลงสนามไป 49 เกม

ในฤดูกาล 1972/73 ดัลกลิชสามารถทำได้ถึง 41 ประตู และเค้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมเซลติกในฤดูกาล 1975/76 แต่ก็เป็นปีที่ไม่ดีสำหรับเค้าเมื่อสตีนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์

ดัลกลิชติดทีมชาติเป็นเวลาถึง 6 ปีในช่วงที่เล่นให้เซลติก โดยเกมแรกในทีมชาติเค้าเป็นตัวสำรองโดยลงไปแทนทอมมี โดเฮอร์ตีในเกมที่ชนะเบลเยี่ยม 1-0 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโร 72 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 1971, ดัลกลิชทำประตูแรกในการลงเล่นให้ทีมชาติได้เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 1972 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกกับเดนมาร์ก ซึ่งสก็อตแลนด์ชนะไป 2-0 ที่สนามแฮมป์เดน ปาร์ค ซึ่งท้ายที่สุดสก็อตแลนด์สามารถผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี 1974 ที่เยอรมันตะวันตกได้สำเร็จ แม้ท้ายที่สุดสก็อตแลนด์จะตกรอบแรกก็ตาม

ในปี 1976 เค้าเป็นคนยิงประตูชัยให้สก็อตแลนด์ชนะอังกฤษ ที่สนามแฮมป์เดน ปาร์ค โดยเค้ายิงลูกรอดขาเรย์ คลีเมนต์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาประตูที่เก่งที่สุดของอังกฤษในยุคนั้น

ดัลกลิชลงเล่นให้เซลติกไป 269 เกม และทำได้ 167 ประตู เฉลี่ยจะทำประตูได้ทุกๆ 1.6 เกม

ในวันที่ 10 สิงหาคม 1977 ดัลกลิชย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูลในยุคของบ็อบ เพสลีย์ด้วยค่าตัว 440,000 ปอนด์ โดยย้ายมาทดแทนการขาดหายไปของเควิน คีแกนซึ่งย้ายไปเล่นให้ทีมฮัมบรูกส์ในเยอรมัน

ที่ลิเวอร์พูลดัลกลิชก้าวเข้ามาแทนที่คีแกนได้อย่างไม่มีที่ติ แม้ตอนแรกเค้าจะเป็นกังวลอยู่บ้างที่จะต้องเป็นคนสวมใส่เสื้อหมายเลข 7 ซึ่งคีแกนเคยใส่ก่อนหน้านี้ โดยเค้าลงเล่นให้ลิเวอร์พูลครั้งแรกในรายการแชร์ริตี้ ชิลด์ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 1977 ซึ่งเป็นการพบกับทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งท้ายที่สุดทั้งสองทีมได้ครองแชมป์รายการนี้ร่วมกัน, ดัลกลิชทำประตูแรกให้ลิเวอร์พูลได้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 1977 ซึ่งลิเวอร์พูลออกไปเยืนมิดเดิลสโบรช โดยดัลกลิชทำประตูได้ในนาทีที่ 7 ก่อนที่จบเกมเสมอกัน 1-1, ก่อนที่อีก 3 วันเค้าจะได้ลงเล่นในสนามแอนฟิลด์เป็นครั้งแรก ในวันที่ 23 สิงหาคม 1977 โดยพบกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดซึ่งในครึ่งแรกทั้งสองทีมเสมอกันที่ 0-0 ก่อนที่เริ่มครึ่งหลังได้เพียงนาทีเดียวดัลกลิชจะทำประตูให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำโดยเกมนั้นลิเวอร์พูลชนะไป 2-0

สำหรับฤดูกาลแรกของดัลกลิชในถิ่นแอนฟิลด์เค้าลงเล่นไปทั้งสิ้น 62 เกมและทำได้ 31 ประตู, โดยลิเวอร์พูลสามารถคว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพมาครองได้อีกด้วยหลังจากที่ชนะทีมบรูกส์ (เบลเยี่ยม) ที่สนามเวมบลีย์ โดยเค้าเป็นคนยิงประตูชัยให้กับทีมอีกด้วย ในช่วงปลายทศวรรษที่ 70 ถึงกลางทศวรรษที่ 80 ดัลกลิชมีส่วนทำให้ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่แข็งแกร่งทั้งในประเทศและในยุโรปอย่างแท้จริง

ดัลกลิชได้ลงเล่นในศึกฟุตบอลโลกปี 1978 ที่อาร์เจนติน่า โดยเค้าสามารถทำประตูได้ในเกมที่สก็อตแลนด์เอาชนะฮอลแลนด์ 3-2 โดยอีก 2 ประตูเป็นผลงานของอาร์ชี แกมมิลล์, และในศึกฟุตบอลโลกปี 1982 ที่สเปน ดัลกลิชก็สามารถทำประตูได้อีกครั้งในเกมที่พบนิวซีแลนด์ 5-2 โดยดัลกลิชลงเล่นให้ทีมชาติสก็อตแลนด์ทั้งหมด 102 เกมและทำได้ 30 ประตู

ในเดือนเมษายน 1980 ลิเวอร์พูลจ่ายเงินจำนวน 300,000 ปอนด์เพื่อเป็นค่าตัวของนักเตะดาวรุ่งอย่างเอียน รัช ซึ่งเป็นการซื้อตัวนักเตะดาวรุ่งที่คุ้มค่าที่สุดของลิเวอร์พูลเลยก็ว่าได้ โดยในฤดูกาลแรกของรัชเค้าได้ลงเล่นไป 49 เกมและทำได้ 30 ประตูซึ่งได้ตำแหน่งดาวซัลโวประจำทีม ส่วนดัลกลิชลงเล่นไป 62 เกมและทำได้ 22 ประตู โดยในปีนั้นลิเวอร์พูลสามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้สำเร็จบวกกับได้แชมป์ลีก คัพมาครองหลังจากเอาชนะท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ในรอบชิงชนะเลิศ โดยรัชเป็นคนทำประตูชัยได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ






ประวัติในการเป็นผู้จัดการทีม
หลังจากเหตุการณ์ เฮย์เซล สเตเดียม ในปี 1985 ที่มีแฟนบอลยูเวนตุสเสียชีวิตไปถึง 39 ศพทำให้โจ ฟาแกนตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล, โดยดัลกลิชถูกแต่งให้เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ควบกับตำแหน่งผู้เล่นไปด้วยซึ่งถือว่าเป็นฤดูกาลที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากมายในแอนฟิลด์, ในฤดูกาล 1985/86 ลิเวอร์พูลสามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้อีกครั้งโดยมีแต้มมากกว่าทีมเอฟเวอร์ตันเพียง 2 แต้ม (โดยดัลกลิชเป็นคนทำประตูชัยในการพบการเชลซี ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ในนัดสุดท้ายของฤดูกาล) ต่อมาดัลกลิชยังพาทีมเอาชนะเอฟเวอร์ตัน 3-1 ในรอบชิงชนะเลิศรายการเอฟเอ คัพได้อีกด้วย

ดัลกลิชสามารถพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งได้ในฤดูกาล 1987/88 โดยเค้าได้เซ็นต์สัญญาคว้าตัวปีเตอร์ เบียดลีย์มาจากนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดมาเสริมทีมเพียงคนเดียว, โดยในยุคที่ดัลกลิชเป็นผู้จัดการทีมเค้าได้ปรับแต่งทีมลิเวอร์พูลให้เป็นทีมที่มีการเล่นที่น่าดูไม่ว่าจะเป็นในด้านความสวยงาม, ความแข็งแกร่ง และด้านเอ็นเตอร์เทนแฟนบอล โดยดัลกลิชยังได้เซ็นสัญญาคว้าตัวจอห์น อัลดริดจ์จากอ๊อกฟอร์ดมาทดแทนการขาดหายไปของเอียน รัชที่ย้ายไปร่วมทีมยูเวนตุส, นอกจากนนั้นดัลกลิชยังจัดการคว้าตัวจอห์น บาร์นส์มาจากวัตฟอร์ดเพื่อเค้ามาประสานงานกับอลัน แฮนเซ่น, รอนนี วีแลน, สตีฟ แม็คมาฮอน, มาร์ค ลอเรนสัน และสตีฟ นิโคล, โดยในฤดูกาลนั้นลิเวอร์พูลทำผลงานได้ดีเยี่ยมโดยไม่แพ้ใครในลีก 29 เกมติด โดยชนะ 22 และเสมอ 7 โดยจบฤดูกาลนั้นดัลกลิชพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้ง แต่ลิเวอร์พูลก็ไปแพ้พลิกล็อกต่อวิมเบิลดันในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ

โดยในปี 1989 ดัลกลิชพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์เอฟเอ คัพได้สำเร็จหลังจากเอาชนะเอฟเวอร์ตันในรอบชิงชนะเลิศได้ แต่ก็ต้องผิดหวังในฟุตอบอลลีกเมื่อก่อนจะลงเล่นนัดสุดท้ายลิเวอร์พูลนำอาร์เซน่อลอยู่ 3 แต้มและต้องการผลเสมอเท่านั้นหรือแพ้ไม่เกิน 1 ลูกเป็นอย่างน้อย แต่ประตูของไมเคิล โทมัสที่ยิงให้อาร์เซน่อลชนะ 2-0 ก็ทำให้อาร์เซน่อลเบียดลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกไปครองด้วยผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่า

ดัลกลิชอยู่ในเหตุการณ์ที่ฮิลส์โบโรด้วย มีแฟนบอลลิเวอร์พูลเสียชีวิตไปถึง 96 ศพในวันที่ 15 เมษายน 1989 ในรายการเอฟเอ คัพรอบรองชนะเลิศที่พบกับน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ โดยดัลกลิชเคยให้สัมภาษณ์ว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 96 ศพนั้นจะยังอยู่ในใจของเดอะ คอปและนักฟุตบอลของลิเวอร์พูลไปตลอดกาล ก่อนที่ดัลกลิชจะประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลอย่างกระทันหันเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1991 โดยก่อนที่เค้าจะลาออกเค้าได้นำนักเตะอย่างสตีฟ แม็คมานามานขึ้นจากชุดอคาเดมีมาเล่นในชุดใหญ่ และยังได้ซื้อตัวเจมี เรดแนปป์ซึ่งเป็นนักเตะคนสุดท้ายที่เค้าซื้อมา ก่อนที่ต่อมาทั้งคู่จะเป็นนักเตะคนสำคัญของลิเวอร์พูล

สมัยที่ดัลกลิชอยู่กับลิเวอร์พูล (ในฐานะนักเตะ/ผู้จัดการทีม) เค้าคว้าแชมป์ลีกสูงสุดไปครองได้ 8 สมัย, แชมป์เอฟเอ คัพ 2 สมัย, แชมป์ลีก คัพ 4 สมัย, แชมป์แชร์ริตี้ ชิลด์ 5 สมัย, แชมป์ยูโรเปียน คัพ 3 สมัย, แชมป์ยูโรเปียน ซุปเปอร์ คัพ 1 สมัย

ก่อนที่ดัลกลิชจะกลับมารับงานในตำแหน่งผู้จัดการทีมอีกครั้งเมื่อเดือนตุลาคม 1991 กับทีมแบล็คเบิร์น โรเวอร์สซึ่งอยู่ในดิวิชั่น 2 (เดอะ แชมเปียนชิพในปัจจุบัน) และเค้าก็พาทีมแบล็คเบิร์นกลับขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดได้อีกครั้งหลังจากที่เอาชนะเลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ในการแข่งขันรอบเพลย์ออฟเลื่อนชั้น และเป็นครั้งแรกที่แบล็คเบิร์นได้กลับมาเล่นในลีกสูงสุดอีกครั้งหลังจากปี 1966

แจ็ค วอล์คเกอร์ซึ่งเป็นเจ้าของทีมแบล็คเบิร์นได้ให้งบประมาณในการซื้อนักฟุตบอลแก่ดัลกลิชอย่างเต็มที่เพื่อที่จะทำให้ทีมได้เป็นแชมป์ลีกสูงสุด โดยดัลกลิชจัดการคว้าตัวอลัน เชียร์เรอร์มาจากเซาแธมป์ตันด้วยราคา 3.3 ล้านปอนด์ และเชียร์เรอร์ก็พาแบล็คเบิร์นจบอันดับที่ 4 ในฤดูกาลแรกที่ทีมได้เลื่อนชั้นกลับมาอีกครั้ง ก่อนที่ฤดูกาลต่อมาดัลกลิชจะซื้อตัวทิม ฟลาเวอร์สและเดวิด แบ๊ตตี้เข้ามาเสริมทีมและพาแบล็คเบิร์นเข้าป้ายในอันดับที่ 2 โดยแชมป์ตกเป็นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ในฤดูกาล 1994/95 ดัลกลิชเซ็นต์สัญญาคว้าตัวคริส ซัตตันด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์ซึ่งถือว่าเป็นสถิติของสโมสรเลยทีเดียว (ในสมัยนั้น) เพื่อให้มาเป็นคู่ขาในแดนหน้ากับอลัน เชียร์เรอร์ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเมื่อทั้ง 2 คนจับคู่กันถล่มประตูและทำให้แบล็คเบิร์นเบียดลุ้นแชมป์กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปจนถึงนัดสุดท้าย ซึ่งนัดสุดท้ายดัลกลิชต้องพาทีมแบล็คเบิร์นไปเยือนลิเวอร์พูลที่สนามแอนฟิลด์ ในขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต้องออกไปเยือนเวสต์แฮม ยูไนเต็ด โดยก่อนเกมที่แอนฟิลด์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้ให้สัมภาษณ์ว่าเกมที่แอนฟิลด์อาจจะมีการสมยอมกันเพราะว่าดัลกลิชกับลิเวอร์พูลมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันและให้เอฟเอจับตาดูให้ดี ซึ่งในเวลา 90 นาทีทั้งคู่เสมอกัน 1-1 แต่ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเจมี เรดแนปป์ก็ปั่นฟรีคิกให้ลิเวอร์พูลชนะแบล็คเบิร์น 2-1 แต่สิ้นเสียงนกหวีดหมดเวลาการแข่งขันแฟนบอลในสนามทั้งสองทีมกลับโห่ร้องแสดงความยินดีกับดัลกลิชเมื่อทราบข่าวว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไม่สามารถเอาชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ดได้ ทำให้แบล็คเบิร์นคว้าแชมป์ไปครองโดยมีคะแนนมากกว่าเพียง 1 คะแนน

โดยการคว้าแชมป์ของแบล็คเบิร์นครั้งทำให้ดัลกลิชได้แชมป์ลีกไปครองถึง 9 สมัย โดยดัลกลิชเป็นผู้จัดการทีมคนที่ 3 ที่สามารถทำทีม 2 ทีมเป็นแชมป์ลีกสูงสุดได้ ต่อจากเฮอร์เบิร์ต ชาปแมน (อาร์เซน่อลและฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์) และ ไบรอัน คลัฟ (ดาร์บี เคาน์ทรีและน็อตติงแฮม ฟอเรสต์)

หลังจากดัลกลิชพาแบล็คเบิร์นเป็นแชมป์ลีกสูงสุด เค้าก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในวันที่ 25 มิถุนายน 1995 โดยก้าวขึ้นไปรับตำแหน่งไดเร็กเตอร์ ฟุตบอลโดยเรย์ ฮาร์ฟอร์ดเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ และนั้นก็เป็นจุดที่ทำให้แบล็คเบิร์นทำผลงานได้ตกต่ำมาตลอดจนถึงปัจจุบัน แต่เค้าก็อยู่ในตำแหน่งใหม่นี้ได้ไม่นานก็ลาออกไปโดยให้เหตุผลว่าต้องการพักผ่อนหลังจากเหนื่อยกับเรื่องฟุตบอลมานาน

ในเดือนมิถุนายน 1997 ดัลกลิชกลับเข้ามารับงานในตำแหน่งผู้จัดการทีมอีกครั้งให้กับทีมนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด โดยเข้ามารับหน้าที่แทนเควิน คีแกน โดยดัลกลิชสามารถพาทีมผ่านรอบคัดเลือกรอบที่ 2 ของศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มได้ แต่ผลงานในลีกไม่สวยงามนักเมื่อทีมจบที่อันดับที่ 13 และแพ้อาร์เซน่อลในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ก่อนที่เค้าจะถูกบอร์ดบริหารของนิวคาสเซิลไล่ออก

ในเดือนมิถุนายน 1999 เค้าเข้ามารับงานในตำแหน่งไดเร็กเตอร์ ฟุตบอลของทีมเซลติก ซึ่งตอนนั้นเค้าดึงจอห์น บาร์นส์เข้ามาเพื่อทำหน้าที่เฮดโค้ช จนทำให้สื่อและแฟนบอลเซลติกวาดฝันว่าทั้งคู่จะทำให้เซลติกกลับมาผงาดอีกครั้ง แต่ด้วยผลงานในสนามที่ไม่ดีนักทำให้บาร์นส์ถูกไล่ออกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2000 โดยในฤดูกาลนั้นเซลติกทำได้เพียงแค่คว้าสก็อตติช ลีก คัพมาครองได้เท่านั้นหลังจากชนะอเบอร์ดีน 2-0 ที่สนามแฮมป์เดน ปาร์ค






ชีวิตส่วนตัว
ดัลกลิชแต่งงานกับมาริน่าซึ่งรอดจากการเสียชีวิตเพราะเป็นมะเร็งเต้านม โดยเธอตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมในเดือนมีนาคม ปี 2003 และได้พักรักษาตัวจากจากการผ่าตัดจนหายดี ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 4 คนโดยเป็นลูกสาว 2 คนคือ ลินเซย์ และลอเรน และมีลูกชาย 2 คนคือ เคลลี และพอล ซึ่งปัจจุบันเล่นฟุตบอลใน MLS กับทีมฮูสตัน ไดนาโม

ในปี 2004 เคนนีและมาติน่าก่อตั้ง The Marina Dalglish Appeal เพื่อเป็นกองทุนช่วยเหลือผู้เป็นมะเร็งเต้านม

ชื่อ Eric Cantona

กำเนิด 24th May 1966
กำเนิดที่ Paris, France
ตำแหน่ง Forward
ส่วงสูง 6ft 2
ลงเล่นให้ United นัดแรก 6/12/1992 vs Man City (H)

อยู่กับ Unitedตั้งแต่ปี 1992-1997

ประวัติการลงเล่น/ประตู

League 142 (1)/ 64
FA Cup 17 /10
League Cup 6 /1
Europe 16/ 5
Total 181 (1)/ 80

ติดทีมชาติตั้งแต่ปี 1987-1994 ลงเล่น 45 Caps for France - 19 Goals

เกียรติยศกับ United

1997 F.A. Premier League
1996 F.A. Cup
1996 F.A. Premier League
1994 F.A. Cup
1994 F.A. Premier League
1993 F.A. Premier League

อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซื้อเขามาจากลีดส์ ตลอดอาชีพนักเตะของเขาดูเหมือนจะมีความขัดแย้งและการโต้แย้ง ทักษะอันไร้ขอบเขตของคันโตน่าถูกใช่อย่างไม่รู้ค่า แต่ในวินาทีที่เขาก้าวเข้ามาในรั่วโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เขาก็รู้ว่าในที่สุดที่นี่คือชานชาลาที่เขามองหามานาน ศักยภาพ แรงเชียร์มหาศาลและเรียกร้องการทำงานสูง มีเพียงสุดยอดเท่านั้นที่ดีพอ และคันโตน่าก็รู้ว่าเขาสุดยอด

ในการที่จะก้าวไปถึงจุดสูงสุดนักฟุตบอลจำเป็นต้องมีความเชื่อมั้นในตนเอง แต่ชายคนนี้มีสิ่งนี้อยู่เต็มเปี่ยม ในอดีตเขาเจอเพื่อนร่วมทีมและผู้จัดการทีมที่ไม่พอใจกับความเย่อหยิ่งของเขา จากวินาทีที่เขาลงสนามในฐานะตัวสำรองเจอกับแมน ซิตี้ เมื่อ 12 ธันวาคม 1992 คันโตน่าก็แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถทำทุกอย่างที่ศูนย์หน้ายุคใหม่จำเป็นต้องทำ เขาสามารถยิงประตู ประตูสุดสวยอย่างนัดเจอวิมเบิลดันในเอฟเอ คัพ 1994 ตอนที่เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งขณะที่เขาครอบครองบอลอยู่บนหน้าขากระดกบอลขึ้นและวอลเลย์
เข้าประตูไปภายในขั้นตอนเดียว เขาสามารถผ่านบอลได้อย่างสมบูรณ์แบบให้กับเพื่อนร่วมทีมทำประตู เขาสามารถดลใจให้ทีมเล่นเกมที่น่าดูที่สุดในยุค 90 แต่เหนืออื่นใด ความสำเร็จของเขาคือการแพร่ความมั่นใจอย่างยิ่งยวดให้กระจายอบอวลในห้องแต่งตัว แค่มีเขาอยู่ก็มากเกินพอแล้ว สิ่งที่อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มองเห็นในตัวคันโตน่าคือเขาต้องการชัยชนะ ปัญหาของเขาในอดีตไม่ได้เกิดจากความทุ่มเท เป็นคนแรกที่มาถึงสนามซ้อมและกลับเป็นคนสุดท้าย นั่นคือเอริก แต่เพราะความใส่ใจมากเกินไปต่างหากที่เป็นปัญหา และมีบางครั้งที่ความปรารถนาอันมากมายของเขาทำให้เขาโชว์ฟอร์มได้ดีขึ้นกว่าปกติ

เมื่อรู้สึกว่าเขาจำเป็นที่ต้องตอบโต้ความอยุติธรรมที่เห็นและผลที่ตามมาจากการตบะแต
กของเขาคือใบแดง หรือแย่กว่านั้นคือ ถูกแบนเพราะความประพฤติของเขา แต่ท้ายที่สุดนี่คือสิ่งที่ทำให้คันโตน่าเป็นสิ่งพิศวงยิ่งขึ้น การกลับมาหลังถูกแบนยาวจากการตบะแตกที่พาเลซ จำได้ว่าตอนที่เขากลับมา บรรดาเซียนทั้งหลายกาชื่อเขาออกไปแล้ว พวกเขาบอกว่าเขาอาจถูกขับออกจากเกมฟุตบอลอังกฤษ แต่พวกเขาคาดผิดเมื่อเขากลับมาในเดือนตุลาคม 995 หลังจาุกถูกแบนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ เขาหล่อหลอมทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะวัยรุ่นไปเป็นทีมดับเบิ้ลแชมป์ เขาเป็นนักเตะที่สร้างความพลิกผันให้กับเกม 13 เกมในหนึ่งฤดูกาลอยู่ในกำมือของคันโตน่าว่าจะเอาเสมอหรือชนะ และเขาโดนใบเหลืองเพียงใบเดียวครั้งหนึ่งนักเตะที่เคยยอมรับว่าไม่สามารถเล่นได้หากป
ราศจากไฟในการทำลาย กลับเปลี่ยนบุคลิกด้วยความมุ่งมั่นอันแข็งแกร่ง และเขากลายเป็นนักเตะที่ดีขึ้นด้วยเหตุนั้น และทันทีที่เขารู้สึกถึงความถดถอยของกำลังกาย เขาเลิกเล่น แต่การจากเกมไปเป็นการจากลาที่มีระดับอย่างสง่าผ่าเผย ทิ้งไว้แต่เพียงความทรงจำกับวันรุ่งเรืองของเขา

อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าวว่า แค่มีเขาอยู่ก็มากเกินพอแล้ว

เอริก กล่าวว่า เป็นโชคดีที่นักเตะส่วนใหญ่ไม่เป็นเหมือนผม ไม่อย่างนั้นคงเป็นอนาธิปไตยกันหมดแน่




เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์