8 เกมมหัศจรรย์กับ กัปตันเบอร์ 8 สตี่วีจี








8 เกมมหัศจรรย์กับ กัปตันเบอร์ 8

 





 












เกมที่ ลิเวอร์พูล บุกรัง อีวู้ด พาร์ค พร้อมกลับออกมาเพียงผลเสมอ 0-0 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา นับเป็นการลงสนามรับใช้ทัพ หงส์แดง เป็นเกมที่ 500 ของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันพลังไดนาโม และแทบไม่น่าเชื่อว่า เกมแรกที่ดาวเตะหัวขิง ลงสนามรับใช้ทีมดังแห่งถิ่น แอนฟิลด์ ก็คือการเปลี่ยนตัวลงไปเล่นเป็นแบ็กขวา ในสนามเดียวกันนี้ เมื่อปี 1998



ดาวเตะวัย 29 กะรัต กลายเป็นนักเตะรายที่ 13 ที่ลงสนามในชุดสีแดงเพลิงแตะหลัก 500 เกม โดยตลอดช่วงเวลากว่า 11 ปี ที่เขาขึ้นมาโลดแล่น และกลายเป็นกำลังสำคัญให้ ลิเวอร์พูล มีหลายเหตุการณ์ทั้งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ และความขมขื่นจากเหตุการณ์ต่างๆ กระนั้น กัปตันจอมแกร่ง ที่สวมหมายเลข 8 มีแมตช์สำคัญที่น่าจดจำอยู่ 8 เกมต่อไปนี้


 


1. เอฟเวอร์ตัน (แอนฟิลด์) เม.ย. 1999
 
มันเป็นเกม เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ที่มีเกือบทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในเกมนี้ ประตูในนาทีแรกของการแข่งขัน ลูกจุดโทษ การฉลองประตูแบบสุดประหลาด และฟอร์มการเล่นของดาวรุ่ง ที่ทำให้ เดอะ ค็อป เชื่อว่า พวกเขามีนักเตะพรสวรรค์สูงอยู่กับทีมแล้ว
 
ความรุนแรง และเข้มข้นของเกมดาร์บี้แห่งเมืองลิเวอร์พูล อาจทำให้พ่อค้าแข้งวัยกระเตาะ ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ทว่า สตีเว่น เจอร์ราร์ด มุ่งมั่นกับการสร้างความประทับใจให้เห็น เมื่อได้ลงสนามแทน เวการ์ด เฮ็กเก้ม แบ็กนอร์เวย์ ในนาทีที่ 71 ของการแข่งขัน
 
ทันใดนั้น เขาก็โชว์ผลงานสุดยอดออกมาทันที เมื่อ บักเจิด สามารถสกัดบอลออกจากเส้นประตูได้อย่างหวุดหวิดถึง 2 ครั้ง 2 ครา ระหว่างที่ทีมนำ ทอฟฟี่สีน้ำเงิน 3-2 ในเวลานั้น และจากความไร้เดียวสาของความเป็นเด็ก ทำให้เขาไม่อาจปกปิดความดีใจออกมาได้ พร้อมกระโดดชกลมขึ้นไปบนฟ้าอย่างบ้าคลั่ง เมื่อทำให้ทีมรอดพ้นการเสียประตูได้อย่างสุดยอด


 


2. เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ (แอนฟิลด์) ธ.ค. 1999
 
สตีวี่ เพิ่มเติมบทบาทของตัวเองให้กับทีมของ เชราร์ด ฮุลลิเย่ร์ ได้อย่างน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง ความสามารถในการต่อสู้ และครองครองเกม ทำให้เขาได้รับการจับตามองอย่างสูง ซึ่งขาดเพียงอย่างเดียว คือประตูแรกเท่านั้น
 
บทบาทหน้าที่การกระหน่ำตาข่าย ที่หลากหลาย อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาในอีกหลายปีต่อมา เมื่อ เจอร์ราร์ด ลากบอลผ่านกลางสนาม ก่อนก้มไหล่ลง พร้อมซัดบอลเต็มเหนี่ยว ส่งเข้าสู่ก้นตาข่ายอย่างสวยงาม


 


3. อาร์เซน่อล (แอนฟิลด์) ธ.ค. 2000
 
บักเจิด ได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นหนึ่งในสุดยอดมิดฟิลด์ตัวกลางของประเทศ พร้อมรับบทบาทหมาล่าเนื้อให้กับทีม และอีกครั้ง ที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำลายเกมของลูกทีม อาร์แซน เวนเกอร์
 
ฟอร์มการเล่นอันดุดันของเขา เพิ่งผ่านการปะทะแข้งกับ รอย คีน ยอดมิดฟิลด์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในชัยชนะเหนือ ปีศาจแดง ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 1-0 เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ และในตอนนี้ เขาต้องลงสนามเผชิญหน้ากับ ปาทริช วิเอร่า กองกลางพันธุ์ระห่ำ ที่ยกพล ไอ้ปืนใหญ่ มาเยือน แอนฟิลด์ ในเกมนี้
 
เจอร์ราร์ด งัดฟอร์มออกมาโชว์ทันทีหลังผ่านไป 11 นาที เมื่อจัดการเก็บตกลูกโหม่งเคลียร์ของ วิเอร่า ก่อนกระหน่ำ 25 หลา พุ่งปานจรวดเข้าไปยังมุมซ้ายล่างของประตูฝั่ง เดอะ ค็อป เอนด์ นอกจากนั้น เขายังโชว์ฟอร์มสุดโดดเด่น ไล่บี้เอาบอลมาให้ หงส์แดง ดาหน้าบุก อีกทั้งยังเปิดบอลยาวให้ทีมได้สวนกลับ ก่อนถูกเปลี่ยนตัวให้ แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ มาบงการเกมแทนในนาทีที่ 76 ซึ่งทีมนำห่าง 3-0 ก่อนเกมจะจบลงที่ 4-0


 


4. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (แอนฟิลด์) มี.ค. 2001
 
การยิงอันทรงพลัง ลูกผ่านอันเฉียบขาด ส่งให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด แบบไปกลับ ครั้งแรกในรอบ 22 ปี
 
โอกาสในการปะทะแข้งกับ แชมเปี้ยนส์ ต่อหน้าแฟนบอลใน แอนฟิลด์ เป็นหนึ่งในความทรงจำ หลังผ่านไปเพียง 15 นาที กับความพิเศษของ เจอร์ราร์ด ทำให้ เดอะ เร้ดส์ ขึ้นนำก่อน 1-0 โดยเขาเก็บบอลจากกลางสนาม ก่อนลากมาหน้าปากประตูอริสำคัญ ก่อนกดเน้นๆ 30 หลา บอลพุ่งติดเทอร์โบ ผ่านมือ ฟาเบียง บาร์กเตซ นายด่านหัวเหม่งเข้าประตูไปหลังจากนั้น เจอร์ราร์ด ยังงัดฟอร์มโดดเด่นออกมาโชว์ต่อเนื่อง เมื่อจัดการผ่านบอลสุดสวยให้ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ หัวหอกตีนพระกาฬ ซัดบอลเข้าประตูง่ายๆ ส่งให้ หงส์แดง  ขึ้นนำ 2-0 ก่อนหน้าการแข่งขันจบลง 5 นาที


 


5. โอลิมเปียกอส (แอนฟิลด์) ธ.ค. 2004
 
เวลานับถอยหลัง พร้อมอนาคตของสโมสร ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เริ่มดับลง หงส์แดง จำเป็นต้องยิงอีก 1 ประตูเพื่อรักษาสิทธิ์ในการผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ เอาไว้ให้ได้
 
บอลหลุดมาถึง เจมี่ คาร์ราเกอร์ ทางฝั่งซ้าย ก่อนผ่านให้ นีล เมลเลอร์ ดาวยิงวัยรุ่น ตั้งบอลให้สวยงาม ก่อนที่แฟนบอล เดอะ ค็อป ทุกคน จะได้เห็น เจอร์ราร์ด วิ่งเข้ามาซัดบอลกระหน่ำประตูสุดสำคัญลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสโมสร ที่ส่งให้พวกเขาเดินทางไปจารึกหน้าประวัติศาสตร์ที่ อิสตันบูล ในเวลาต่อมา


 


6. เอซี มิลาน (อิสตันบูล) พ.ค. 2005
 
จะพูดอะไรถึงเกมที่ อิสตันบูล ได้อีก มีอะไรที่ยังไม่ได้พูดอีกเหรอ?
 
มันเป็นตำนาน สำหรับการที่ หงส์แดง ตามหลัง 0-3 กับ ยอดทีมอย่าง เอซี มิลาน ในช่วงพักครึ่ง พวกเขาจำเป็นต้องพึ่งความเป็นผู้นำ และแรงยัลดาลใจสูงสุดจากผู้นำของพวกเขา โชคดีพอ เหมือนกับที่มันมักเกิดขึ้นยามที่ทุกคนต้องการ สตีวี่ พร้อมเดินนำทุกคนในโอกาสแบบนี้
 การโหม่งพังประตูที่เต็มไปด้วยพลัง การวิ่งตะบึงไปในกรอบเขตโทษ ก่อนได้ประตูตีเสมอ และการถูกจับไปเล่นในตำแหน่งแจ้งเกิด เพื่อประกบ แซร์จินโญ่ ทางแบ็กขวา ในช่วงต่อเวลาพิเศษ มันเป็นหนึ่งในฟอร์มอันโดดเด่นมหาศาลจาก นักเตะหมายเลข 8 คนนี้
 
เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปี ในทีมชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล สตีวี่ พูดถึงมหัศจรรย์ที่ อิสตันบูล ที่เขายกย่องให้เป็นอันดับ 1 ใน 5 แมตช์ยอดเยี่ยม ว่า ไม่มีเกมไหนอีกแล้ว ที่ผมสามารถเลือกได้มากกว่าเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบสุดท้าย ปี 2005 การตามหลัง 3 ประตู แล้วกลับมาชูถ้วยรางวัลได้มันวิเศษที่สุด ผมเห็นไฮท์ไลท์การแข่งขันมากมายในทีวี และมันเป็นเกมสุดยอดที่จะดูทีเดียว


 


7. เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (มิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม) พ.ค. 2006
 
อีกหนึ่งผลเสมอ 3-3 ที่แทบบ้า พวกเรายังคงเห็น ฟอร์มสุดยอดของ สตีวี่จี อย่างต่อเนื่อง ในแมตช์ที่ได้รับการบันทึกลงในประวัติศาสตร์ว่าเป็น เดอะ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ไฟนั่ล
 
ก่อนหน้านั้น 12 เดือน หลังเถลิงบัลลังก์แชมป์ยุโรป เดอะ เร้ดส์ โชว์อีกหนึ่งตำนานในเกมชิงชนะเลิศ แต่ในครั้งนี้เป็นที่ มิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม เมื่อต้องพบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และครั้งนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาได้รับการยกย่องให้เป็นต่อมากมาย
 
หงส์แดง ได้รับการคาดหมายว่าจะชนะ ทีมของ อลัน พาร์ดิว แต่คนเหล่านั้น คงลืมเขียนบทไป ทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ ไล่ตามหลังมาตลอด นับตั้งแต่ถูกนำก่อน 2-0 จากการยิงของ พอล คอนเชสกี้ ลอยผ่าน เปเป้ เรน่า เข้าประตูไป
 
ลิเวอร์พูล ดูเหมือนตาย แถมถูกเผาไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากซีซั่นที่ยาวนาน แต่ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บกลับมีพลังเฮือกสุดท้ายเข้ามา สตีวี่ วิ่งจนหมดแรงข้าวต้ม แต่เขาไม่ต้องการจบการแข่งขันด้วยการเป็นผู้แพ้ บอลสุดท้าย ตกมาถึงเขาบริเวณระยะ 30 หลาหน้าปากประตู มีนักเตะไม่กี่คนหรอก ที่จะยิงได้อย่างหมดจด และรุนแรง ในช่วงเวลาสุดท้าย ที่สำคัญยิ่งยวดแบบนี้
 
แต่เจอร์ราร์ด แสดงให้เห็นว่า เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนนั้น ด้วยการจับบอล ก่อนตะบันเต็มแรงผ่าน ชาก้า ฮิสล็อป ชุดชีวิตใหม่ให้กับความหวังของ ลิเวอร์พูล หลังจากนั้น เจอร์ราร์ด ก็สร้างตำนานอีกหนึ่งถ้วย หลังดวลเป้าชนะ ขุนค้อน แบบใจหายใจคว่ำ


 


8. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด) มี.ค. 2009
 
8 ประตู ซึ่งเป็นของเขา 3 ใส่ 2 โคตรทีมแห่งยุโรปภายใน 1 สัปดาห์ เป็นความสุดยอดที่น่าจดจำครั้งหนึ่ง มันเริ่มจากการยิง 2 ประตู ใส่ เรอัล มาดริด ก่อนลงท้ายด้วยฟอร์มอันเยี่ยมยอดของ กัปตัน หงส์แดง
 
ยูไนเต็ด ลอยลมอยู่บนหัวตาราง และดูเหมือนจะได้ 3 แต้มแน่นอน จากการซัดจุดโทษ เบิกร่องของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในนาทีที่ 23 ซึ่งทำให้ เดอะ ค็อป อาจต้องพกพาความผิดหวังกลับไปบทถนนสาย เอ็ม 62 แต่สุดท้ายแล้ว บทลงเอยมันไม่ได้เป็นแบบนั้น
 
เฟร์นานโด ตอร์เรส จัดการฆ่า เนมันย่า วิดิช ตีเสมอให้กับทีม ก่อนที่ เจอร์ราร์ด ถูก ปาทริช เอวร่า รวบล้มไปในเขตโทษ ก่อนรับหน้าที่สังหารเป็นประตูขึ้นนำ พร้อมวิ่งไปจุมพิต กล้อมโทรทัศน์ เป็นการฉลองสุดคลาสสิก
 
กัปตันหัวขิง แสดงให้เห็นถึงฟอร์มสุดยอดอีกครั้ง เมื่อเกือบหลุดเดี่ยว ก่อนโดน วิดิช ดึงล้ม เป็นใบแดงของแผงหลังเซิร์บ ก่อนที่ ฟาบิโอ ออเรลิโอ จัดการปั่น บวกสกอร์เพิ่มอีก 1 ประตู หลังจากนั้น อันเดรีย ดอสเซน่า แบ็กอิตาเลี่ยน ตอกย้ำความปราชัยให้ ปีศาจแดง เมื่อกระดกบอลข้ามหัว เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เป็นประตู 4-1 เมื่อเสียงนกหวีดสิ้นสุดลง


    


Junk



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์