หงส์แดง...ได้แค่เนี้ยะแหละ โดย มาริโน่

น่าประหลาดใจว่าก่อนเจอกับโอลิมปิก ลียง เมื่อคืนวันพุธ ลิเวอร์พูล ลงเตะพรีเมียร์ ลีก มา 11 นัด คาร์ลิ่ง คัพ สองรอบ และแชมเปี้ยนส์ ลีก อีกสามเกม พวกเขาไม่เคยพบพานกับผลเสมอมาเลยตั้งแต่เปิดซีซั๋น

สิ่งซึ่งเชื่อแน่ว่าผิดไปจากปีก่อน เมื่อเด็กหงส์บ่นระงมเป็นหมีกินผึ้งว่าทีมเสมอมากเกินไปจนเป็นเหตุให้พลาดแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 19 ปีอย่างน่าเสียดายที่ซู้ด

ถึงขั้นหลายคนงัดตำราบวกลบคูณหารและสแควร์รูธ มาวิเคราะห์ว่าถ้าการเสมอถึง 11 นัดในพรีเมียร์ ลีก ปีที่แล้ว เปลี่ยนผลลัพธ์เป็นชนะแค่ 5 กะแพ้ 6 (ใจป้ำถึงเพียงนั้น) ลิเวอร์พูล จะมีคะแนนเพิ่มอีก 4 แต้ม พร้อมกับคว้าแชมป์ไปด้วยผลต่างประตูได้-เสีย ดีกว่าแมนฯ ยูไนเต็ด

คงเห็นว่าบ่นกันนัก ฤดูกาลนี้ราฟา เบนิเตซ เลยจัดให้ หงส์แดงกลายเป็นทีมหากว่าไม่ชนะแล้วก็แพ้ไปเลย ไม่เคยเสมอ แต่ก็อีกนั่นแหละ เสียงบ่นเดิมๆ (แถมจะดังกว่าเก่า) พากันแซ่ซ้องขอให้ปลดกุนซือหน้าหนวดหัวล้านไปเสีย

แล้วผลเสมอนัดแรกของลิเวอร์พูล ก็มาถึงจนได้...แต่ดันโผล่มาเอาในเวลาที่ไม่มีใครต้องการ

โอกาสแรกและครั้งเดียวที่โอลิมปิก ลียง ทำได้จากการเซ็ตบอลด้วยตัวเอง และเข้าไปยิงในเขตโทษ กลายเป็นประตูที่แทบจะล็อกกลอนคล้องโซ่ปิดตายโอกาสผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ในแชมเปี้ยนส์ ลีก ของทีมอดีตแชมป์ 5 สมัย

สกอร์ 1-1 ที่สต๊าด เดอ แชร์กล็องด์ หมายถึงนัดหน้า เด็กหงส์ต้องสวมบทกองเชียร์เฉพาะกิจของลียง ให้บุกไปชนะหรืออย่างแย่แค่เสมอกับฟิออเรนติน่า ในอาร์เตมิโอ ฟรังคี่

ขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูล ต้องกวาดชัยชนะในสองเกมที่เหลือ โดยแมตช์สุดท้ายคือการเปิดแอนฟิลด์ เจอกับทีมม่วงมหากาฬ

พวกเขามีโอกาสตกกระป๋องตั้งแต่ก่อนถึงวันนั้น ถ้าลียง ซึ่งลอยลำเข้ารอบแล้ว ออกไปทำทีเล่นทีจริง ก่อนลงเอยด้วยการแพ้บนแผ่นดินรองเท้าบู้ท

แต่ยังพอคาดหวังได้ว่าทีมของโคล้ด ปูแอล จะเน้นเต็มที่ กัดไม่ปล่อย เพราะรองแชมป์ลีก เอิง จะตั้งเป้าถึงการจบในฐานะแชมป์กลุ่ม

ในเคสว่าลียง สามารถบุกยันเสมอ และลิเวอร์พูล ไม่กระทำอัตวิบาตกรรมในการเยือนเดเบรเซน ของฮังการี

นัดสุดท้ายกับฟิออเรนติน่า ก็ยังเป็นงานยากอยู่ดีที่หงส์แดงจะดีดตัวกลับขึ้นมาเป็นทีมเข้ารอบ

เพราะพวกเขาจำเป็นต้องยิงทีมแกร่งของเซเรีย อา ให้ได้ถึง 3 ประตู ในข้อแม้ว่าจะโดนเอาคืนไม่ได้สักลูก

กรรมเก่าจากการเคยออกไปแพ้ที่ฟลอเรนซ์ 0-2 ทำให้ลิเวอร์พูล อยู่ในจุดที่ลำบาก เหลือที่ยืนเพียงเขย่งบนปลายนิ้วโป้ง มีข้อแม้สารพัดสารพันจะสรรหา

แม้ใครบางคนจะพยายามให้กำลังใจว่าอย่าลืมสิ นี่คือลิเวอร์พูล ทีมที่มักทำสิ่ง (ดูเหมือน) เป็นไปไม่ได้ ให้เกิดขึ้นมานักต่อนัก

ก็คงเหมือนก่อนหน้าเกมกับลียง นี่แหละหนา กำลังใจครั้งละหกบาทส่งมาแบ่งปันกันอ่านเพียบว่าทีมชนะได้ เลือดเข้าตาแล้วนิ หงส์สู้ๆ รักลิเวอร์พูล ลียงหนาวมาก ฯลฯ

ใช่... เด็กของราฟา ทำได้ดีพอ สร้างสรรค์โอกาสมากพอที่จะเก็บสามแต้มกลับมาจากฝรั่งเศส และยื้อลมหายใจบนถนนสู่ซานติอาโก เบร์นาเบว 2010

แต่ราวกับกระจกสะท้อนเรื่องราวในฤดูกาลนี้ของลิเวอร์พูล ว่าแม้กระทั่งในคืนที่น่าชนะ ซึ่งอาจมีผลต่อเนื่องไปถึงการกอบกู้วิกฤติความเชื่อมั่นภายในทีม

กระนั้นก็ดี บางสิ่งบางอย่างยังเป็นชนวนเหตุให้ชัยชนะต้องหลุดมือ

เราจะโทษอะไรและใครดีสำหรับการเสียประตูตีเสมอในช่วงทีเกมกำลังคืบคลานสู่นาทีสุดท้าย

คีร์เกียกอส ? แอ็กเกอร์ ? สมาธิ ? หรือว่าโชคชะตา ?

หรือสมควรกว่าที่เราจะโทษเค้าท์ โทษโวโรนิน โทษลูคัส ที่มีโอกาสทำประตูตั้งแต่ก่อนลูกยิงเต็มเท้าพ่อ (ตีนเตี่ย) ของไรอัน บาเบิล

ถ้าสกอร์ของลิเวอร์พูล ตอนเข้าสู่นาทีสุดท้าย นำห่าง 2-0 การพลาดท่าดอกนั้นจะไม่ส่งผลเลยแม้แต่น้อย

ที่สุดแล้วก็ต้องโทษกันทั้งทีม เพราะฟุตบอลคือเกมที่เล่นด้วย 11 คนในสนาม แม้เกมรับของหงส์แดงในปีนี้จะโดนต่อว่าต่อขานว่าเสียประตูง่าย แต่ถ้าทฤษฎีที่บอกว่าเกมรุกคือเกมรับที่ดีที่สุด ยังคงใช้ได้จริงในทุกยุคทุกสมัย

การปิดบัญชีไม่เด็ดขาด จบสกอร์ไม่ได้ หรือพวกตัวรุกเก็บครองบอลไม่เป็น โยนภาระและความกดดันให้กองหลังแบกรับมากเกินไป ก็ย่อมล้วนต้องถูกตำหนิ

ผมไม่อยากจะยกตัวอย่าง แต่มันจำเป็นว่าถ้าเราดูเกมของแมนฯ ยูไนเต็ด ในคืนก่อนหน้า พวกเขาเสียถึง 3 ประตู แต่ก็ไม่แพ้ เพราะเกมรุกช่วยทำหน้าที่เป็นเกมรับที่ดีที่สุด

ราฟา เบนิเตซ ทำหน้าที่ของเขาได้ดีที่สุดแล้ว (เฉพาะในแมตช์นี้) ทั้งการจัดทีมในสถานการณ์ที่มีตัวเลือกจำกัดจำเขี่ย และแผนการเล่นที่ทำให้เกมของลิเวอร์พูล ออกมาดีกว่าเจ้าถิ่นอย่างลียง ค่อนข้างชัด

นักเตะที่ตกเป็นแพะโดนโห่อย่างลูคัส, มาสเคราโน่ ขยันบีบ ไล่บอล เท่าที่ศักยภาพของพวกเขาจะทำได้

แม้แต่คาร์ราเกอร์ ที่แม้ความเชื่องช้า และอย่าหวังการขึ้นเติมเกมรุกทางกราบขวา ก็ยังปิดช่องไม่ให้โอกาสกับลิซานโดร จนต้องขยับหนีหุบมาเล่นตรงกลาง

แม้แต่โวโรนิน ที่หลุดเดี่ยวเข้าไปล่อเป้าลูกนั้น แต่ไม่ผ่านเซฟของฮูโก้ ยอริส หรือเดิร์ก เค้าท์ ซึ่งได้โอกาสทองไม่ใช่ทีเดียว แต่สองหน หรือเลว่า ที่น่าจะแปกดให้บอลเรียดต่ำกว่านี้...

แต่เหตุผลที่ลิเวอร์พูล ทำได้แค่เสมอและโอกาสเข้ารอบอยู่ในขั้นโคม่าเต็มแก่....เพราะพวกเขาเต็มที่ได้แค่เนี้ยะจริงๆ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์