อ่านแล้วจะเข้าใจราฟามากขึ้น-ยาวหน่อยนะ

หาก แอนฟิลด์ เป็นภาพลักษณ์ภายนอกของสโมสร ลิเวอร์พูล เอฟซี มันคือหน้าตา, ผิวหนัง, เป็นการแสดงออกต่อสาธารณะแล้วล่ะก็ เมลวู้ด ก็คือหัวใจ. ตับไตใส้พุง และระบบประสาทของสโมสรเช่นเดียวกัน

เมื่อ ราฟาเอล เบนิเตซ เชิญผมทานอาหารกลางวันเป็นการส่วนตัวที่สนามซ้อมอันเป็นตำนาน ลิเวอร์พูล เพิ่งปิดฉากชัยชนะ 6 เกมรวด ด้วยความพ่ายแพ้ที่ อิตาลี แต่สิ่งต่างๆก็ยังดูดี มันไม่ใช่การเชื้อเชิญที่เป็นทางการอะไร เป็นแค่กำหนดการทักทายกันยาวๆ และขอบคุณผมที่สละเวลาเขียนคอลัมน์ลงในเว็บไซต์ของสโมสรตลอด 4 ปีที่ผ่านมา

ไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง หลังจากที่ เรอัล มาดริด และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างมาพังพาบ และ เส้นทางการคว้าแชมป์ที่สุดยอด ได้ปิดฉากลง

ตอนที่มีการพบปะกัน บรรดาหนังสือพิมพ์ต่างระดมวิจารณ์ ราฟา มากมาย เพียงไม่กี่เดือนที่ซีซั่นที่ดีที่สุดเพิ่งผ่านพ้นไป

การพบปะโดยที่ไม่ได้เจตนา ผมไม่ได้คาดหวังไว้ก่อนเลย ว่าต้องมาอยู่ท่ามกลางกระแสพายุเหมือนตอนนี้ ทั่วโลกกำลังพูดถึง ราฟา เบนิเตซ และอนาคตของเขา ผมอยู่ที่นี่ ใช้เวลาทั้งช่วงเช้า และเกือบตลอดบ่ายกับชายสเปน พูดคุยกับเขาตัวต่อตัว กับสโมสรที่พวกเรารัก

มันชัดเจนว่า เมลวู้ด เดินมาไกลจากเวลาที่ บิล แชงคลี่ย์ เปลี่ยนให้เป็นสถานแห่งเกียรติยศ อาคารโปร่ง และสนามหญ้า ทำให้ แฮมตัน คอร์ท ดูอายไปเลย การตกแต่งประดับด้วยสีแดง แต่รั้วอิฐบล็อก ที่ทำหน้าที่กั้นโลกท้งใบ และบรรดาช่างภาพนักหาข่าวเอาไว้ ยังคงเป็นอันเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ผมชายตามองข้ามไปยังเนินประวัติศาสตร์ ที่สร้างขึ้นเพื่อให้วิ่งขึ้นลงเพื่อฝึกความอดทน และเป้าซ้อมยิงที่ติดหมายเลข 9 อันแบ่งแยกออกจากกัน ซึ่งเหมือนกับที่ผมได้เห็นในรูปเมื่อยุคสมัยของ แชงคลี่ย์

การได้อยู่บนสแตนท์ เดอะ ค็อป ในเกมที่ ลียง มาเยือน ผมกลัวเหลือเกินในช่วง 20 นาทีสุดท้าย ที่จะเห็นชัยชนะ เปลี่ยนเป็นความพ่ายแพ้ นักเตะเริ่มอ่อนปวกเปียกเพิ่มมากขึ้น ผมเกือบคิดว่า ราฟา จะยกเลิกกำหนด และสำหรับทุกคน มันคงเป็นอารมณ์ที่กำลังผิดหวัง เป็นเวลาที่จะสืบสวน และหาทางกลับมาต่อไป

อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้เผชิญหน้ากับความสิ้นหวัง จิตใจยังคงดีอยู่ (ถ้าไม่เข้าใจ ไม่มีใครกำลังกลิ้งเกลือก และเต้นเร่าๆเหมือนหนูติดจั่นอะไรทำนองนั้น) ผมยอมรับเลย ว่าไม่เคยมีประสบการณ์ในการไปสถานที่ไหนมาเปรียบเทียบกับครั้งนี้ แต่เหมือนกับผมกำลังลอยอยู่บนออร่าอะไรซักอย่าง

ผมเข้าไปดูการฝึกซ้อมบางอย่าง แต่แน่นอนว่า ไม่มีนักเตะรุ่นใหญ่ที่ฟิตซักเท่าไหร่อยู่ที่นั่น และมันเป็นเพียงการฝึกสั้นๆ เป็นการฝึกเบาๆหลังเกมหนักเมื่อคืนก่อน

ประมานเที่ยง ราฟา เข้ามาทักทายผมอย่างอบอุ่นเป็นครั้งที่สองของวัน และครั้งนี้ ผมจะใช้เวลาเต็มๆกับเขา ไม่มีการเบนความสนใจไปทางอื่น พวกเราตรงเข้าออฟฟิตของเขาทันที และไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เขาก็เขียนแผนการเล่นคร่าวๆบนเศษกระดาษยับๆออกมาทันที

แม้ว่าจะโดนโจมตีอย่างหนักไปทั่ว แต่ชายคนนี้ ที่พาทีมของเขาได้แต้มเฉลี่ย 78 คะแนน ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา หรือเท่ากับคะแนนที่ทำให้ อาร์แซน เวนเกอร์ ได้แชมป์ลีกครั้งแรก ทั้งที่มรดกที่เขาได้รับก่อนหน้านั้น 2 ฤดูกาล (ยุค อุลลิเย่ร์) ทำแต้มได้เฉลี่ยเพียง 62 คะแนนเท่านั้น

นี่เป็นชายที่ทำให้สโมสรได้เงินมากกว่า 100 ล้านปอนด์ ในการผ่านเข้ารอบแชมเปี้ยนส์ลีกทุกปี และผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศถึง 2 ครั้ง

นี่ไม่ใช่ยุค 70 หรือ 80 ที่ความสำเร็จ ต่อยอดความสำเร็จ จาก 2 กุนซือที่เรืองอำนาจตลอด 24 ปี ก่อนที่ผู้จัดการทีมอีก 2 คน จะเข้ามาต่อเติมเสริมยอดออกไป (และในกรณีของ เดลกริช ก็ทำได้ในระดับที่สวยงามสุดยอด)

นี่ก็ไม่ใช่ยุค 90 ที่ แกรม ซูเนสส์ สนุกสนานกับช่วงเวลาแห่งความยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายของสโมสรเมื่อเปรียบเทียบกับทีมอริ
อื่น (ก่อนการบูมของ พรีเมียร์ลีก, ก่อนเริ่มต้นสร้างการตลาดของ ยูไนเต็ด ก่อนหน้ามหาเศรษฐีทั้งหลาย) ทำลายสถิติซื้อตัวนักเตะของอังกฤษเป็นว่าเล่น และพยายามทำให้ เดอะ เร้ดส์ กลับมาเป็นยอดทีมอีกครั้ง ด้วยการเสริมทัพแบบพวกอ้วนตุตะ ไม่น่าสนใจ ไร้ความหวัง แต่ยังดีที่มีดาวรุ่งผอมแห้งถูกโยนลงมา

เมื่อเงินเหล่านั้นถูกจับจ่ายออกไป รอย อีแวนส์ ที่สุดละเอียด รอบคอบ ยังถูกโกงจากการเซ็นสัญญาครั้งมโหฬาร คือ สแตน คอลลีมอร์ คนที่อยากจะมาซ้อมก็มา (แต่ตอนนี้กลายเป็น กูรู ) ลิเวอร์พูล ก็พลาดเป็นพวกวิ่งบ้ากันไปหมด

ผมพบ เบนิเตซ ระหว่างช่วงเวลาที่ย่ำแย่ของสโมสร แต่เป็น 3 เดือนที่เลวร้าย ไม่ใช่ 3 ปีที่เลวร้ายในการพุ่งเป้าไปที่สถิติหนึ่งที่มุ่งโจมตีเขาในสัปดาห์นี้

เพิ่มเติมอีกหน่อยว่า เมื่อตอนจบซีซั่นก่อน พวกเราแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเป็น 6 เดือนที่ดีที่สุดในรอบทศวรรษ และมาร์ติน โอนีล กำลังโดน สาวก วิลล่า จวกอย่างเมามัน ขณะที่ อาร์แซน เวนเกอร์ โดนรุมอย่างหนักจากพวกกูนเนอร์ส แต่ตอนนี้ พวกเขากลับมาได้แล้ว ผู้จัดการทีมชั้นยอดมีช่วงเลวร้ายเสมอ มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้


ผมมาทำอะไร?

ทุกคนในสโมสรทำให้ผมรู้สึกว่าผมรู้สึกอบอุ่นอย่างที่สุด ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับการเข้าพบราฟาในช่วงนี้มลายหายไปหมดสิ่ง ในขณะที่ผมเดินไปทั่วโรงอาหาร ผมมีโอกาสได้เห็นนักเตะจากทีมสำรองพากันลงว่ายน้ำหรือไม่ก็เล่นเทนนิส ก่อนที่จะเข้ารับการฝึกฝนเบาๆก่อนเกมการแข่งขันคืนนี้

ราฟา แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เชิญผมมาที่นี่เพื่อบอกขอบคุณกับความพยายามของผมตลอด 5ปี ที่ผ่านมา และทำให้ผมรู้ว่า เขาประทับใจมากแค่ไหน ที่ผมคิดถูกเกี่ยวกับเขา และทฤษฏีของเขา เขาพบว่ามันไม่ค่อยปกตินัก ที่จะมีใครหาเวลา และสร้างความพยายามแบบนี้ออกมา

แน่นอน นี่คือ ราฟา เขาชี้ให้เห็นว่าผมคิดผิดอยู่ 2-3 อย่าง (ผมชอบนะ มันทำให้ผมรู้สึกว่า เขาตรงไปตรงมากับผม และเขาชี้ชัดให้เห็นว่าผมคิดผิดถนัด ในความไม่เข้าใจครั้งล่าสุด ที่พวกเราเจาะลึกไปถึงการป้องกันลูกฟรีคิกของทีมอย่างไร มากกว่าการที่ผู้คนส่วนใหญ่จะเจาะลึกไปเฉพาะรายบุคคล)

เขาไม่ต้องการให้ผมใส่สีเติมไข่ลงไปในงานเขียน แต่แน่นอนว่า แต่เขาก็ดีใจที่ได้เห็นว่ามีคนที่พยายามเขียนต่อต้านคำวิจารณ์ ด้วยความจริงครึ่งหนึ่ง มากกว่าที่จะใช้แต่จินตนาการ

ผมไม่ได้ถูกขอร้องให้เปลี่ยนแปลงอะไร หรือไม่ทำอะไรให้เขา เขาแค่ต้องการให้แน่ใจว่า เมื่อผมคุยถึงสิ่งต่างๆ อย่างการยืนคุมโซน ผมเข้าใจถูกว่ามันเป็นอย่างไร และใครทำหน้าที่อะไรบ้าง

ผมอธิบายไปว่า ผมตะหนักเรื่องนี้ดีตั้งแต่มาเขียนเมื่อปี 2005 ว่าเขาเป็นขาประจำที่เข้ามาอ่านบทความของผม ผมแน่ใจว่า ผมรู้ว่าผมกำลังพูดอะไรอยู่ เป้าหมายของผมคือการทำความเข้าใจแนวความคิดของเขา มากกว่า ตัดสินเขา และหากผมตัดสินเขา ผมต้องรู้สิ่งที่ตัวเองพูดมากกว่านี้อีกเยอะ

ความจริง กลายมาเป็นสิ่งสำคัญกว่าเมื่อก่อน เมื่อผมดูจำนวนเงินที่เขามีไว้จับจ่าย (เมื่อเทียบกับคู่ปรับ) หรือเกมแล้วที่เขาเอาชนะ มันทำให้ความเชื่อมั่นของผมในตัวเขาจากที่มีมากอยู่แล้ว มากเพิ่มขึ้นไปอีก

ประกอบกับ เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้อ่านหนังสือ Soccernomics/Why England Lose ผมยิ่งเชื่อเข้าไปใหญ่ ถึงการต้องการความสำเร็จในเกมฟุตบอลสมัยใหม่นี้ (มันเป็นเรื่องที่ว่า ทำไมแฟนบอลอังกฤษ ถึงคาดหวังสิ่งต่างๆจากอดีตมากจนเกินไป มันขึ้นอยู่กับความห่างของประวัติศาสตร์ แต่ก็รวมถึงเงิน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าเหนื่อย ที่เป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จมากกว่าที่ผู้คนคิด)



ความสุขุม

คำที่ผมเคยอธิบายว่า ผู้จัดการทีมคนนี้ ใจเย็น ซึ่งในพจนานุกรมของผมบอกว่ามันหมายถึง จิตใจที่สงบ เยือกเย็น และมีสติในยามเผชิญหน้ากับสถานการณ์ลำบาก

ถ้าเขาไม่ได้ต่อยอากาศเมื่อทีมชนะ เขาก็จะไม่ต่อยนักเตะยามทีมแพ้เช่นกัน

แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาไม่มีอารมณ์ร่วม ในหลายหัวข้อที่สนทนา เขาดูมีชีวิตชีวา เขารักสโมสรนี้อย่างชัดเจน ความต้องการของเขาคือประสบความสำเร็จ ความทะเยอทะยานของเขาผ่านไปยังงานที่ทำมันชัดเจน

ใช่ บทสนทนาเกือบเป็นเรื่องฟุตบอลล้วนๆ แต่ห้องทำงานของเขาก็มีอะไรที่บ่งบอกถึงครอบครัวภายนอกเกม เพื่อแสดงให้เห็นว่า เขาไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ไร้วิญญาณ และเขายังเป็นคนตลกอีกด้วย แต่ก็นั่นแหล่ะ แน่นอนว่าเขาไม่ได้เชิญผมมาเพื่อพูดถึง การแสดงของ Strictly Come ในสัปดาห์นี้ซักหน่อย หรือเป็นอย่างนั้น?

พวกเราใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมงทานอาหารกลางวันในห้องส่วนตัวของเขา และหลัง จากออกมาจากห้องทำงาน ก็ไปยังห้องวางแผน ห้องส่วนตัว และเกือบทุกที่ที่ได้ร้องขอ

มันเป็นธรรมชาติ เป็นการสนทนาง่ายๆ ในเวลานั้น ผมไม่ต้องสนใจว่าผมกำลังคุยกับใคร และพูดถูกต้องหรือเปล่า ภาษาอังกฤษของเขาง่ายที่จะเข้าใจ มากกว่าการฟังเขาผ่านไมโครโฟน (สำหรับผมไม่ได้จดอะไรเลย เป็นการคุยกันเรื่องฟุตบอลของชาย 2 ล้วนๆ)

หลังจากการเขียนอะไรคร่าวๆบนกระดาษ A4 แล้ว เขาก็นำผมไปยังห้องอาหาร และอธิบายถึงโภชนาการของร่างกาย ขณะที่ผมกำลังพยายามทำความเข้าใจ อัลแบร์โต้ อาควิลานี่ เข้ามาแตะไหล่เขา และถามถึงเรื่องเกมสำรองในช่วงค่ำของคืนนั้น พวกเขาคุยกันสั้นๆเป็นภาษาอิตาเลี่ยน บอสหันกลับมา และเอาออร์เดอร์ของผมไป ซึ่งเป็น เพลล่า และผมก็ประหลาดใจจริงๆ ที่เขาสั่ง พาสต้า มาทาน

หลังจากนั้น
เราพูดถึงมิดฟิลด์อิตาเลี่ยนคนใหม่ มีแพทย์ฝีมือเยี่ยมบอกสโมสรว่า เขาน่าจะฟิตทันก่อนจบเดือนสิงหาคม แต่ก็ต้องเลื่อนมาเรื่อยๆ มันน่าผิดหวัง แต่ราฟามีความสุขกับสิ่งที่เขาได้เห็นในการฝึกซ้อมทุกวันนี้ เด็กคนนี้มีวิสัยทัศน์ และมีเทคนิค แม้ว่าเขายังต้องปรับตัวให้เข้ากับความเร็วของฟุตบอลอังกฤษก็ตาม

(หลังจากนั้น ราฟา เอาเครื่องออกกำลังกายรุ่นใหม่ ที่ช่วยให้ อาควิลานี่ ทำการฝึกซ้อมได้ แม้ยังบาดเจ็บอยู่ ออกมาโชว์ผมด้วย)

เขาบอกผมเองว่า ค่าตัวที่ซื้อมานั้น 17 ล้านปอนด์ เขาบอกว่า ยอร์น อาร์เน่ รีเซ่ (ต่อท้ายด้วยเด็กดี) ส่งข้อความมาหาเขาหนึ่งครั้งเพื่อสนับสนุนความคิดของเขา และบอกว่า ลิเวอร์พูล จะได้เพชรเม็ดแท้เมื่อมี อาควิลานี่

(ผมชอบนะ ที่นักแตะ และผู้จัดการทีม ยังส่งข้อความถึงเจ้านายเก่าอยู่ ไม่มีสัญญาณของความไม่กลมเกลียวกันที่นั่น แม้ราฟา บอกชัดเจนว่า มันไม่ใช่งานของเขา ในการเป็นเพื่อนสนิทของบรรดานักเตะจากภาระหน้าที่ของเขา เหมือนที่ ฟาบิโอ คาเปลโล่ คงจะไม่ทำตัวสนิทสนมกับนักเตะของเขามากเกินไปเช่นกัน)

ราฟา อธิบายว่า มันเป็นซัมเมอร์ที่ยากลำบากมากๆ จากการที่ อลอนโซ่ มุ่งมั่นที่จะย้ายออกไป และ บาร์เซโลน่า ก็ตามจิก มาสเคราโน่ ไม่ปล่อย

แน่นอนว่า ผู้จัดการทีม ต้องการทำธุรกิจด้วยตัวเองมากกว่านี้ แต่มันก็ไม่สามารถทำได้ เขาผิดหวังอย่างแท้จริง เขาไล่รายชื่อนักเตะที่เขาเข้าไปทาบทาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเตะที่เรารู้จักกันดี แต่ไม่มีซักคนที่ได้มา ผมคิดว่า มันน่าอายเหลือเกินเมื่อผมได้ยินชื่อนักเตะเหล่านั้น ผมยังได้รู้ว่า มีนักเตะเวิลด์คลาส อีก 1 คน ที่ ลิเวอร์พูล พยายามซื้อมาเมื่อปี 2007 แต่ก่อนหน้าที่การเจรจาจะได้บทสรุป เขาก็ย้ายไปที่อื่นเสียแล้ว

พวกเราคุยถึง
สถานการณ์ของ อลอนโซ่ ราฟา ตัดสินใจเมื่อจบซีซั่นที่ 4 ของมิดฟิลด์สเปน ในปี 2008 เป็นเวลา 2 ปีหลังจากอลอนโซ่ ฟอร์มดร็อบลงไป และ เดอะ ค็อป หลายคนก็พูดเรื่องนี้ และในกรณีของ แกเร็ธ แบร์รี่ ราฟา เชื่อว่า เขาเป็นนักเตะที่แข็งแกร่งกว่า มีคุณภาพหลากหลายกว่า เด็ดขาด และมีพาสสปอร์ตอังกฤษ หากมีการเปลี่ยนกฎเกิดขึ้นมา นอกจากนั้น มันยังเป็นเหตุผลที่ว่า ภรรยาของ ชาบี อยากกลับไปสร้างครอบครัวที่บ้านเกิด และรบเร้าถึงความต้องการย้ายกลับไปปักหลักที่สเปนอยู่ตลอดเวลา

ราฟา วางแผนการเล่นไว้ให้ แบร์รี่ เรียบร้อยแล้ว โดยเน้นที่พละกำลัง และความสามารถวิ่งขึ้นวิ่งลงของเขา รวมถึงการผ่านบอลด้วยความแม่นยำ แต่ก็เหมือนที่รู้ๆกัน การเจรจาล้มเหลว เพราะบอร์ดต้องการ ร็อบบี้ คีน

เวลาของ อลอนโซ่ จบลงแล้ว อย่างไรก็ดี ดาวเตะมาดคุณชาย มีซีซั่นที่ดีที่สุดเป็นการส่งท้าย หัวใจของเขาอยู่กับการย้ายทีม ไม่มีอะไรใหม่เลย ผมรู้เรื่องนี้ดี แต่มันก็ดีที่จะมีการแจงรายละเอียดออกมาเป็นการส่วนตัว นักเตะต้องการไป และ ลิเวอร์พูล ได้เงิน 30 ล้านปอนด์



ได้เวลา?

การพูดคุยของเรา โดนขัดจังหวะจาก แซมมี่ ลี และ แฟร้งค์ แม็คพาร์แลนด์ (ผอ.เยาวชน) หลายครั้ง และผมก็ได้แนะนำตังกับพวกเขา ชายที่แบ่งเบาความปรารถนาความสำเร็จของ ราฟา และมีคุณค่าพอที่จะจับมือด้วย

ผมไม่แน่ใจว่า การคุยกันควรยาวนานเท่าไหร่ และถามบอสบ่อยๆว่ามีอะไรต้องไปทำหรือเปล่า แต่เขาใส่ชุดซ้อม นักกายภาพกำลังทำงานของเขา และราฟา ก็ไม่ได้ล้มคว่ำจนเร็วเกินไป บางที มันอาจเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่มันก็แค่ช่วงสั้นๆในหนึ่งวันทำงานของเขา

แต่มันก็ทำให้ผมเห็นได้ชัดว่าเขาอยากจะให้โลกเข้าใจเขาบ้าง โดยเฉพาะพวกผู้เล่นเก่าๆที่ตอนนี้กลายมาเป็นนักวิพากษ์วิจารณ์ที่ดูเหมือนว่าจะเข้าใ
จอะไรกันไปผิดๆ และเขาก็ยังรู้อีกว่าเขานั้นไม่ได้มีเพื่อนในเครือข่ายข่าวสารเหมือนทีมคู่แข่งอื่นๆ เช่น Fleet Street, Sky TV, the League Managers’ Association และ the FA (ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เจาะจงก็เถอะ แต่มันก็ไม่ได้ยากนักใช่ไหมว่ามีผู้จัดการคนไหนบ้าง ที่ทำงานโดยใช้สื่อเพื่อนเก่าแก่มาช่วย และสโมสรไหนมีผลต่อการทำงานของสื่อบ้าง)

เมื่อผมคิดว่า มันคงจะดีกว่าให้เขากลับไปทำงาน พวกเราก็คุยกันต่ออีกเรื่องทุกทีไป คือการป้องกันแบบคุมโซน ราฟา ก็ลุกขึ้น และจัดแจงวาดภาพที่บอร์ดด้านหลังทันที

มันไม่เพียงพอ เขายังหยิบ ดีวีดี ออกมาจากคลังของเขา และก็แสดงให้เห็นว่า
แท้จริงแล้ว ลิเวอร์พูล ตังรับแบบผสมทั้งแบบโซน และประกบคน ผมเห็นได้ว่า ใครควรอยู่ตรงไหน และงานของแต่ละคนคืออะไร งานของแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับว่า คนเตะมุมถนัดเท้าไหน (เข้าหาประตู หรือออกจากประตู) และทุกคนเปลี่ยนแปลงภาระหน้าที่ไปแบบใดบ้าง ทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเองดี

หลังจากนั้น เขายังหยิบเอาแผนการของทีมอื่น และข้อผิดพลาดจากการคุมตัวต่อตัว และชี้ให้เห็นว่าใครบ้าง ที่แม้จะได้รับมอบหมายให้ประกบตัว แต่ดันยืนแบบคุมโซนซะงั้น! (คนคุมเสา และคนที่ยืนตำแหน่งที่กำหนด) พวกเราดูทีมที่ประสบความสำเร็จในการตั้งรับลูกฟรีคิก และเขาแสดงให้ผมเห็นว่า ทีมเหล่านั้น ใช้รูปแบบคล้ายคลึงกับพวกเราเลย (ด้วยความสัตย์จริง พวกเขาใช้แบบเดียวกันเลย) แต่พวกเขาแค่มีนักเตะที่สูงโย่งกว่ามากเท่านั้นเอง

โชคไม่ดีเลย นักเตะสูงโย่งที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ล้ำค่าล้วนค่าตัวมหาศาล และแม้ว่าคุณจะซื้อเจ้ายักษ์ใหญ่มาป้องกันลูกฟรีคิกได้ แต่เขาก็ไม่สามารถเล่นได้ตามที่คุณขออยู่ดี

ถ้าคุณต้องการนักเตะฝีเท้าดีอย่าง มาสเคราโน่ เบนายูน อินซัว มันก็เหมือนกับหลายๆอย่างในชีวิต ที่นักฟุตบอลสุดยอดเทคนิค และมีร่างกายดีเยี่ยมสมบูรณ์พร้อม มักมีราคาแพงหูฉี่ แต่แม้ว่า เชลซี จะมียักษ์ปักหลักมากมายไว้คอยโหม่งบอล แต่พวกเขาก็เสีย 4 ประตูจากลูกตั้งแต่ใน 2 เกมเยือนล่าสุด



ตอบยาก?

ผมถามคำถามยากๆ ราฟา หลายข้อที่แฟนต้องการให้ผมถาม และเขาก็เต็มใจตอบไม่มีปัญหา

แน่นอนว่าผมไม่สามารถพูดคำตอบของเขาได้หมด เพราะมันเป็นการสนทนาแบบส่วนตัว และผมไม่ต้องการทำให้ความมั่นใจของนักเตะถูกรบกวน เขารู้ว่าสมดุลของทีมยังไม่ดี และเขาทำงานหนักในการปรับสิ่งที่จำเป็น แต่ปัญหาเรื่องฟอร์ม และความฟิต มันไม่ช่วยเลย

ทันใดนั้น มันทำให้ผมคิดได้ว่า หากพวกปากหอยปากปูทั้งหลาย ได้นั่งลงคุยกับ ราฟา และสนทนากันแบบนี้ พวกเขาคงเปลี่ยนความคิด และฉลาดขึ้นอีกเป็นกอง

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะรู้สึกได้ถึงความผิดพลาดทันที ทุกการเซ็นสัญญาสามารถล้มเหลวได้ ทุกการเปลี่ยนตัวคือความเสี่ยง และมันเป็นแบบนั้น คุณสามารถตัดสินใจถูกต้อง และโชคร้ายได้ในคราวเดียวกัน กับที่ตัดสินใจถูกต้อง แต่ดันโชคดี

สิ่งเหล่านี้มันทำให้ผมรู้ว่า หน้าที่หลักของเขาคือการสร้างความมั่นใจให้กับผู้เล่นที่อยู่ในช่วงที่ฝืด ในขณะเดียวกันก็พยายามลดอีโก้ของนักเตะที่คิดว่าตัวเองทำได้ยอดเยี่ยมลงบ้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้นั่นมันไม่ง่ายเลยในทำหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการ



ดื้อ

หลีกเลี่ยงไม่ไดที่ผู้คนพากันบอกว่า ราฟา เป็นเด็กดื้อ แต่ผมไม่รู้ว่า มีผู้จัดการทีมชั้นยอดคนไหน ที่ไม่มีความกล้าหาญในการพิสูจน์ความเชื่อของตัวเอง ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ต้องการผู้จัดการทีมที่มีความเชื่อเพียงอาทิตย์เดียว แล้วก็เปลี่ยนใจในสัปดาห์ถัดไป ถ้าคุณรู้ว่าบางอย่างมันได้ผลมากกว่าอีกอย่าง คุณก็ต้องหนีบมันไว้ ไม่ปล่อยมันไป การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่คำตอบเสมอไป

ยกตัวอย่าง 4 ปีที่ผ่านมา กับการเป็นที่หนึ่ง หรือเป็นหนึ่งในสุดยอดของสถิติการตั้งรับลูกตั้งแต่ แต่มันกลับกลายมาเป็นช่วงเลวร้ายในเวลา 10 เกม แล้วจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร? ในเมื่อการตั้งรับแบบประกบตัวเต็มที่ทุกคน ไม่สามารถทำให้ อินซัว เบนายูน หรือ มาสเคราโน่ สูงไปถึง 194 ซม. ได้ซักหน่อย

ผู้คนจะโจมตีการตัดสินใจของเขาต่อไป เช่น การลงเล่น 3 เซ็นเตอร์ กับ ซันเดอร์แลนด์ โดยลืมไปว่า ก่อนหน้านี้ เราก็เคยเล่นระบบนี้ และประสบความสำเร็จ

พวกเราคุยกันต่อ ถึงการถอด เบนายูน (คนที่เขาคิดว่าเล่นได้ดี แต่กลับหยุดนิ่งไม่ยอมวิ่งเสียเฉยๆ) ถึงเมื่อปีก่อน ที่มีคนส่วนใหญ่ต่อว่าๆ นักเตะคนนี้ ไม่ฟิตพอจะสวมเสื้อด้วยซ้ำ

แน่นอนว่า นี่เป็นเรื่องของความมั่นใจ คืนก่อนหน้านี้ (เกม ลียง) ลิเวอร์พูล รู้สึกเหมือนกุมอำนาจเหนือกว่า หลังขึ้นนำ แต่จน ลียง ตีเสมอได้ คุณก็เห็นได้ถึงความห่อเหี่ยวไปหมด สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นใจให้คุณ

ราฟา บอกผมว่า หลุยส์ อราโกเนส (กุนซือสเปน แชมป์ ยูโร 2008) บอกว่า คุณไม่อาจซื้อความมั่นใจตามร้านค่าทั่วไป มันไม่ใช่ไม้เท้าวิเศษ ไม่ใช่ข้อความลับ ไม่ใช่การฉีดยามหัศจรรย์ ที่ทำได้คือ คุณต้องมุ่งมั่นทำงานหนัก ทำในสิ่งที่เหมาะสม และหวังว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไป

พวกเราทุกคนเคยเห็นกองหน้าที่ยิงประตูไม่ได้ หลังจากนั้นก็ถูกส่งลงสนามไป และก็ล้มหัวทิ่มหัวตำอีก นั่นเป็นสิ่งเดียวกันที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทีม เว้นเสียแต่ความผิดพลาดอย่างหนักส่วนบุคคล ที่พรากความมั่นใจไปหมดแล้ง ทุกคนที่เป็นแบบนั้น ลังเลในการจ่ายบอล และเคลื่อนที่

นักเตะชุดเดียวกันกับที่ผ่านบอล และเคลื่อนไหวได้เกือบสมบูรณ์แบบเมื่อช่วงครึ่งหลังของซีซั่นก่อน (แม้ตอนไม่มี อลอนโซ่) ก็ไม่ได้ลืมว่าฟุตบอลมันเล่นอย่างไรไปทันทีทันใดหรอก

กระนั้น เบนิเตซ ก็ยอมรับความผิดพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลอดนักเตะ แต่ก็ชี้ว่า เขาต้องเสี่ยงกับนักเตะราคาถูกกว่า เมื่อเป้าหมายแรก (ที่คู่อริอาจแย่งซื้อ) ขึ้นอยู่กับการเงินของสโมสร เขารู้ว่า เกือบทุกครั้ง เขาต้องขายนักเตะออกไปเพื่อซื้อเข้ามา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาสำหรับทีมชั้นนำรายอื่นๆ

เขาเล่าหลายเรื่องเกี่ยวกับนักเตะที่แม้ว่าจะได้รับการยกย่องมาก แต่ก็สร้างความประหลาดใจ เพราะไม่เข้าใจว่าพวกเขาถูกขอร้องให้ทำอะไร หลายคนที่ปรับตัวไม่ได้ หรือคงไม่ (หรืออาจไม่) สามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษ หรือไม่ก็บรรดาภรรเมียต้องการย้ายออกไป มีหลายคนต้องการการการันตีทีมตัวจริง หรือไม่ก็จะย้ายออกไป ดังนั้นพวกเขาจึงย้ายไป

แล้วยังมีพวกเอเยนต์อีก ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ทำให้คุณรู้ว่าการควบคุมคนนั้นมันเป็นงานยาก จากความต่าง และก็แน่นอนว่าเบนิเตชซึ้งไม่ได้เกิดในประเทศอังกฤษและไม่มีพรรคพวกคอยช่วยนั้น มันไม่ใช่งานง่ายๆเลย

ผมถามเขาว่า นักเตะคนไหนอาจมาอยู่กับทีม หากเขามีอำนาจเงินเทียบเคียงกับ เชลซี แมนฯ ยู, แมนฯ ซิตี้ เขาก็เขียนชื่อบรรดานักเตะที่กำลังนอนรับเงินอื้อซ่ากับสโมสรอื่นขึ้นมาเป็นทีมที่สุ
ดยอดเลยทีเดียว

เราคุยต่อว่า มันจะดีขนาดไหนหากนักเตะอย่าง ปีเตอร์ เคร้าช์ อยู่กับทีมต่อ แต่แน่นอนว่า เขาต้องอยู่หลัง ตอร์เรส ในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า แต่ผู้จัดการทีมก็ไม่อาจยื่นค่าเหนื่อยมหาศาลให้เพื่อพยายามรั้งตัวให้เขามีความสุขม
ากยิ่งขึ้น (หากมีความสุขอยู่แล้ว) แม้ว่าต้องนั่งรอโอกาสเป็นตัวสำรอง


เราคุยถึงนักเตะชื่อดังหลายคนที่อยู่กับคู่แข่ง ซึ่งเขาเคยคิดว่าจะซื้อตัวมาได้ แต่ก็ล้มเหลงเพราะเหตุผลที่อยู่นอกเหนืออำนาจของเขา อีกครั้งนะ นักเตะส่วนใหญ่เรารู้จักเป็นอย่างดี มีบางคนบ้างที่เซอร์ไพรส์ และผมรู้สึกถึงความรู้สึกลึกๆของเขาได้เลย เมื่อมองดูว่าเขาบีบมือตัวเองแน่นขนาดไหน

เรายังพูดถึงในเรื่องของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับตัวผู้เล่น และก็อธิบายว่าปกติแล้วเขาไม่ใช่คนที่เสนอราคาไป เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ และบ่อยครั้งมันทำให้เขาประหลาดใจแค่ไหน กับเงินที่สโมสรจ่ายไปให้กับนักเตะ ที่ถ้าจะให้เขาจ่ายเงินขนาดไหนเขาคงไม่เอาดีกว่า

พวกเราคุยกัน ถึงตัวอย่างเรื่อง ดอสเซน่า (ราฟา บอกว่า เป็นสุดยอดมืออาชีพ แต่มีปัญหาเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับระบบการเล่น) จนถึงตอนนี้ ก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ อินซัว ได้ก้าวขึ้นมา ไม่ว่า ดอสเซน่า จะเล่นได้ดีในท้ายที่สุดหรือเปล่า มันก็มี อินซัว ที่ราดา 1 ล้านปอนด์ มาทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมแล้ว

ตอนนี้ อินซัว อาจมีค่ามากกว่าค่าตัวที่จ่ายให้ทั้งเขา และ ดอสเซน่า รวมกัน แต่ผู้คนจะคิดไปในแง่ลบเสมอ อย่างไรก็ดี เขาไม่ได้บอกว่า หากอินซัว มีค่าตัว 7 ล้านปอนด์ และ ดอสเซน่า มีค่าตัว 1 ล้านปอนด์ มันคงไม่มีปัญหา ดังนั้น ปัญหาคืออะไร? (อย่าลืม ออเรลิโอ ที่ฟรีอีกคนล่ะ นักเตะทีมชาติ 3 คน และ 2 ในนั้นเล่นมิดฟิลด์ได้ ในราคารวมกัน 8 ล้านปอนด์)

ราฟา ทำให้ผมประหลาดใจ ในขณะที่เราพูดคุยเกี่ยวกับผู้เล่นที่เรียกได้ว่าทุกคน ไม่ว่าจะเป็นตัวจริงหรือสำรอง ไม้เว้นแต่ผู้เล่นเยาวชน เขาสามารถบอกได้ถือจุดแข็งจุดอ่อน พร้อมเผยความชื่นชมต่อตัวนักเตะออกมาด้วย แม้แต่ตำแหน่งที่เขาอยากปรับปรุงมากที่สุดเช่นกัน ความบ้าความเพอร์เฟก ทำให้เป็นแรงขับเคลื่อนส่วนบุคคล และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม สตีเว่น เจอร์ราร์ด ถึงมีฟอร์มที่ดีที่สุดในยุคของ เบนิเตซ ใครจะไปสนว่า ราฟา กอดเขาอย่างรักไคร่ หรือเอาเค็กปาหน้าเขาก็ตาม?

หลังจากนั้น ตอนที่เราเดินผ่านนักเตะทีมสำรองตัวเล็กๆคนหนึ่ง ราฟา รีบดึงผมออกมา เพื่อไม่ให้เด็กๆได้ยิน และบอกผมอย่างชัดเจนว่า เด็กคนนี้มีอะไรบางอย่าง จับตาดูเขาไว้ให้ดี แต่บางที มันคงดีกว่าที่ไม่ให้เด็กๆรู้สถานการณ์ของตัวเอง



ยกเครื่อง

อีกหนึ่งหัวข้อ ที่ผมหยิบยกขึ้นมา คือการซื้อนักเตะมากมายของเขา

เขาหยิบกระดาษ A4 ขึ้นมา เขียนรายชื่อนักเตะทีมชุดใหญ่ที่เขาคิดว่าไม่ดีพอลงไป (เกินครึ่งทีม) ทีมสำรอง (เกือบทั้งทีม) ทีมเยาวชน (ทุกคน) ซึ่งรวมๆแล้ว มันก็เกินกว่า 50 คนอีก

ดังนั้น การที่เขาถูกกล่าวหาว่า ซื้อนักเตะมากเกินไป เขาชี้ให้เห็นว่า ตัวเองมีทางเลือกไม่มาก นักเตะมากมาย ซื้อมาเพราะดีกว่าของเก่าที่มีอยู่ แม้ว่า กับนักเตะเยาวชนแล้ว คุณก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าใครจะมีฝีเท้าระดับไหน หรือจะเติบโตได้เร็วเพียงใด เพราะแม้ว่าอายุแค่ 17 ปี พวกเขาก็ต้องการสัญญาอาชีพกันแล้ว

ผมคิดว่า มันสำคัญตรงนี้ หากคุณมีนักเตะทั้งหมด 50 คนในสโมสร ที่เชื่อว่าไม่ดีพอแล้วพวกเขาก็จำเป็นต้องไป แต่คุณจะไม่ได้การทดแทนด้วยนักเตะ 50 คนแบบทันทีทันใดหรอก

กฎของการซื้อนักเตะมันบอกว่า มีการซื้อใหม่ๆบางทีก็เจ็บ บางทีก็ปรับตัวไม่ได้ บางคนก็ไม่ได้เป็นเหมือนที่โฆษณาไว้ (เช่น ทำไม่ได้ตามที่ขอ หรือแม้ว่าจะได้รับการจับตามาดีแล้ว ก็ทำได้ไม่ดีเมื่อมาอยู่ในทีม บางคนก็ไม่ได้รับการพิจารณาอย่างละเอียด ทำให้ ราฟา จำเป็นต้องปรับทีมแมวมองอย่างหนักมาตลอด)

การซื้อนักเตะ 50 คน และหวังให้ 25 คนนั้นไปได้ดี ก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว เพราะหากคิดถึงว่าพวกนี้เป็นเด็ก ที่อาจล้มเหลว หรือไม่ก็เสียสมาธิไปกับสิ่งอื่นได้เช่นกัน

มันอาจต้องใช้เวลา 3 ปี ในการซื้อนักเตะมา 50 คน และคุณอาจได้นักเตะที่ต้องการเพียงครึ่งเดียว ดังนั้น คุณอาจจำเป็นต้องเซ็นอัก 50 คน ซึ่งเวลาเดียวกันนั้น นักเตะที่ประสบความสำเร็จ อาจย้ายออกไปเพราะเหตุผลต่างๆนาๆ ดังนั้น มันเป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอด เพราะพวกเราไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะซื้อนักเตะระดับโลกมาประดับทีมได้แบบฟุ่มเฟือย



มันผิดพลาดอย่างไร?

เขาพูดถึงการเติบโตของ ฟรานซิสโก้ ดูรัน แต่หลังจากบาดเจ็บหนัก 3 ครั้ง โอกาสของเด็กหนุ่มสเปน ที่เคยโดน เวนเกอร์ ตามจีบ แต่เลือกมา ลิเวอร์พูล ก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เป็นอนาคตรุ่งโรจน์เมื่อปี 2007 แต่กลับไม่สามารถพัฒนาไปได้ไกล เาอยากไม่ได้กลายเป็น เชส ฟาเบรกาส คนต่อไป แต่ ฟาเบรกาส ก็ไม่เคยเจ็บหนักสุดๆ 3 ครั้งติดต่อกันหนิ

เขายังคุยถึงผู้เล่นเยาวชนคนอื่นที่อยู่กับทีมอื่นในตอนนี้ และเขาได้ทำหน้าที่ดีพอแล้วในการชักชวน แต่การเจรจาก็ไม่รวดเร็วพอในการเจรจาขอซื้อตามที่เขาร้องขอ

ผมได้รับเชิญให้ไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของเขา ซึ่งเก็บข้อมูลของนักเตะทุกคนในเมลวู้ดเอาไว้หมด เขามีนักเตะในแต่ละตำแหน่งในดวงใจ ตั้งแต่ทีมชุดใหญ่ ไปจนถึงดาวรุ่ง ผมได้รู้ว่านักเตะคนไหนกำลังแสดงทัศนคติที่ดี ใครที่ทำให้เขาผิดหวัง สิ่งต่างๆที่คุณไม่มีวันได้รู้หากไม่ได้มาอยู่ในสโมสร มันเป็นข้อมูลที่สุดยอด ผมเห็นได้ชัดว่ามันมีบางกลุ่มที่เขาพยามยามจะกระตุ้นแล้ว แต่ก็ผิดหวัง ไม่ว่าจะเกิดจากการไม่มุ่งมั่งมากพอ หรือมุ่งไปสู่จุดหมายอื่น สิ่งเหล่านี้มันบอกได้เลยว่า ทัศนคติของผู้เล่นที่มีต่อทีมมันสำคัญแค่ไหน

เขาจัดระดับ ปาเชโก้ นักเตะที่แฟนๆชื่นชอบ อยู่ในพวก ยังต้องรอ อย่างไรก็ดี แม้ว่าเขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขามีเจ้าตัวเล็กอีกคนหนึ่ง ที่เป็นนักเตะฉลาดมากๆ ซึ่งเข้าขากับทีมที่ขาดความสูงแบบนี้อยู่แล้ว แต่แน่นอนว่า ปาเชโก้ มีโอกาส หากเขาสามารถลดความแตกต่างระหว่างทีมชุดใหญ่ กับทีมสำรองได้เมื่อมีโอกาส

ผมถามถึง เนเม็ธ ราฟา ชอบเด็กคนนี้มากๆ แต่เขาจำเป็นต้องมีประสบการณ์ในทีมชุดใหญ่มากกว่านี้อีกนิด แน่นอนว่าเขาจะไม่ได้ถูกปล่อยไปยืมตัวเพื่อรอวันโละทิ้ง แต่ในตอนนี้ โวโรนิน บวกด้วยประสบการณ์ของเขา (จากการที่นักเตะชุดใหญ่ มีนักเตะอายุน้อยเต็มไปหมด) ทำให้ดูว่าเป็นทางเลือกที่ดีว่าในการเป็นกองหน้าตัวสำรอง

สำหรับ กูลาชซี่ (ที่ผมได้ดูว็อมแบบตัวต่อตัว) เป็นอีกหนึ่งดาวรุ่ง ที่เขาหวังไว้มาก แต่นายประตูเด็กอาจหลุดไปเลยหากก่อความผิดพลาด และอายุ 20 ปี ก็ยังน้อยเกินไปในการนั่งเป็นสำรอง

สุดท้าย อยาล่า ได้รับการยกย่องมากกับทัศนคติ และมีอนาคตสดใส

แน่นอนว่ามันยาก ในการปล่อยดาวรุ่งไปให้ทีมอื่นยืมตัวแล้วจะได้ลงสนาม เราคุยเรื่องนี้อย่างจริงจัง อย่างเช่นเรื่อของ ซาน โฆเซ่ ที่ไปอยู่ในสเปน

การส่งพวกเขาไปให้ทีมใน พรีเมียร์ลีก เหมือนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันก็ดูเหมือนจมีแต่ทีมที่ต้องดิ้นรน ที่แสดงความสนใจเข้ามา (เขลซี ไม่อยากได้นักเตะสำรองของคุณอยู่แล้ว หรือคิดว่าเราจะให้พวกเขาล่ะ?) แล้วถ้ากุนซือของพวกเขาโดนไล่ออกล่ะ นักเตะพวกนี้ก็จะไม่เป็นที่ต้องการ เหมือนกรณีของ นีล เมลเลอร์ กับ อองโตนี่ เลอ ตัลเล็ด ดังนั้นเป้าหมายคือการมองหาสโมสรที่ทำให้นักเตะได้พัฒนาจริงๆ



credit:www.liverpoolthailand.com

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์