Youll never walk alone ... ความจริง หรือแค่คำลวง ? By นาฬิกาทราย

นาฬิกาทราย

นาฬิกาทราย
[newvid@hotmail.com]





You'll never walk alone ... ความจริง หรือแค่คำลวง ?
วันที่ 2 มีนาคม 1995 ย้อนกลับไปเมื่อสิบสี่ปีก่อน วันนั้นคือวันแรกที่ผมมีโอกาส ได้ดูลิเวอร์พูลลงเล่นเป็นครั้งแรกครับ

เกมนั้นคือนัดชิงชนะเลิศโคคา โคล่าลีกคัพ ภาพสตีฟ แมคมานามาน ยิงสองประตู พาลิเวอร์พูลเอาชนะโบลตัน วันเดอเรอส์ 2-1 ซึ่งเป็นแชมป์แรก และแชมป์เดียว ในยุคของรอย อีแวนส์ ยังคงติดตาผมอยู่จนถึงวันนี้

ถึงแม้ที่อังกฤษจะเป็นเกมใหญ่ก็ตาม แต่สำหรับบ้านเรายุคนั้น ฟุตบอลอังกฤษยังไม่บูมมากเท่านี้ เช่นเดียวกับระบบการถ่ายทอดสด ที่ยังไม่เจริญมากเช่นกัน ทำให้ยังเป็นการถ่ายแห้ง หรือเอาภาพเทปมาฉายทางช่องเจ็ดเท่านั้น

แต่ถึงจะไม่ใช่ถ่ายทอดสด มันก็ยังทำให้ผมที่ยังเป็นแค่เด็กประถมธรรมดา ผู้ไม่เคยเห็นฟุตบอลระดับสูงขนาดนี้มาก่อน ก็ได้แต่ตื่นตะลึงอยู่หน้าจอทีวี

ภาพการต่อบอลที่ไหลลื่น ภาพกองเชียร์นับหมื่นในเวมบลีย์ และภาพเสื้อสีแดงสดที่สะดุดตา มันทำให้เด็กคนนั้นละสายตาไปจากโทรทัศน์ไม่ได้เลย

จากวันนั้น จนถึงวันนี้ จำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ แต่รู้ตัวอีกที ผมก็กลายมาเป็นแฟนหงส์แดงเต็มตัวซะแล้ว

ทุกครั้งที่ลิเวอร์พูลลงเล่น จะเฝ้ารอเกมด้วยใจตื่นเต้น คอยลุ้นเสมอว่าเกมนี้ 11 ตัวจริงจะเป็นใคร

เวลาทีมชนะ จะรู้สึกดี ทำอะไรก็มีความสุข ภาพที่ทีมยิงประตูได้จะดูรีเพลย์ซ้ำไปซ้ำมากี่รอบก็ไม่เบื่อ

ในขณะที่เวลาทีมแพ้จะรู้สึกเซ็งขึ้นมาทันที ยิ่งถ้าแพ้กับทีมคู่ปรับอย่าง ยูไนเต็ด ยิ่งเจ็บช้ำเป็นสิบเท่า

เชื่อมั้ยครับ ว่าตอนที่ลิเวอร์พูลแพ้แมนฯยูไนเต็ด 2-1 ในเอฟเอคัพปี 1999 ที่ยอร์ก กับโซลชา ยิง 2 ประตูช่วงท้ายเกม ทำให้ผมถึงกับน้ำตาร่วง งอแง ไม่ยอมไปโรงเรียนวันรุ่งขึ้น มานึกเอาตอนนี้ก็ตลกตัวเองเหมือนกัน

เวลาผ่านไป พอโตขึ้น ในปัจจุบันที่มีอินเตอร์เนต รวดเร็วขนาดนี้ ยิ่งทำให้เข้าถึงข่าวสารของลิเวอร์พูลมากขึ้น ข่าวคราวทั้งเรื่องจริง และซุบซิบ ผ่านหูตลอดเวลา

ได้รู้จักสโมสรยิ่งขึ้น มีโอกาสได้ไปแอนฟิลด์ และชมวิถีชีวิตของชาวเมืองลิเวอร์พูล จนผมพอจะบอกตัวเองได้ว่า ถึงแม้ไม่ได้เกิดที่นั่นก็เถอะ แต่เรานี่ก็คลั่งสโมสรไม่ได้แพ้ สเกาเซอร์ เท่าไหร่หรอกนะ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะคิดว่าตัวเองรู้จักสโมสรดีพอสมควรก็ตาม แต่กลับมีอย่างหนึ่งที่ผมยังไม่เคยเข้าใจในความหมายอย่างถ่องแท้

นั่นคือประโยคที่ติดไว้ที่โลโก้เหนือสีแดงสง่าของนกลิเวอร์เบิร์ด

You'll never walk alone

เราจะไม่ปล่อยให้คุณเดินเดียวดาย ?


ไม่ปล่อยหรอ ... ฟังดูดีนะ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน

ในยุคนี้ที่ช่องว่างระหว่างนักฟุตบอลรายได้ แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ กับชาวบ้านที่ได้เงินแค่ 5 ปอนด์ ต่อชั่วโมง มันไปไกลคนละเรื่องแล้ว นักฟุตบอลระดับสตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ไม่มีวันมาเอื้อมมองและสนใจชาวบ้านที่ทำงานในร้านขายของชำหรอก

ยิ่งคิด ยิ่งทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเอง คำถามที่ผมตอบไม่ได้

ว่า ประโยค You'll never walk alone จริงๆแล้วมันมีความหมายอะไรบ้างหรือเปล่า

หรือจริงๆแล้ว เป็นแค่เพียงประโยคธรรมดา ที่ไม่ได้มีคุณค่าใดๆ ต่อนักเตะ และสโมสรทั้งนั้น


1.




ในค่ำคืนมิราเคิลไนท์ ที่อิสตันบูล จะเป็นคืนที่แฟนหงส์แดงทั่วโลก ไม่มีวันลบเลือนตลอดจนชั่วชีวิต

การคัมแบ็ก กลับมาคว้าชัยชนะเหนือเอซี มิลานทั้งๆที่โดนนำไปสามประตู ได้รับการยกย่องว่าเป็นเกมนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกที่ตื่นเต้นที่สุดตั้งแต่มีการจัดการแข่งขันมา

สำหรับไมเคิล ชิลด์ เด็กหนุ่มร่างใหญ่วัย 18 ที่เป็นแฟนลิเวอร์พูลตั้งแต่เกิดก็เช่นกัน เขาถึงกับร้องไห้น้ำตาไหลพราก ทันทีที่เห็นสตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ชูถ้วยบิ๊กเอียร์ในสนามอตาเติร์ก

ไมเคิล นำเงินเก็บทั้งหมดที่ตัวเองทำงานพิเศษมาครึ่งปี ใช้เพื่อค่ำคืนนี้ ทั้งซื้อตั๋วเกมนัดชิงชนะเลิศที่สุดแพง ,ตั๋วเครื่องบินจากอังกฤษมาตุรกี, ค่าโรงแรม ฯลฯ

แต่จำนวนเงินมากมาย เขาไม่ได้รู้สึกสูญเปล่าอะไรเลย เมื่อเห็นทีมรักคว้าแชมป์ยุโรปได้อย่างเหลือเชื่อแบบนั้น

หลังจบแมตช์ ไมเคิล เดินทางกลับบ้านที่ลิเวอร์พูล แต่ความรู้สึกสะใจในชัยชนะยังคงเปี่ยมล้น ดังนั้นเขากับเพื่อนอีกราวสิบคน ในกลุ่มลิเวอร์พูลแฟนคลับ จึงตัดสินใจใช้เงินเก็บที่เหลือ เดินทางไปฉลองกันให้แบบสุดๆ ที่ต่างประเทศ ที่โรงแรมเล็กๆริมทะเลแบล็กซี ในประเทศที่ดูไม่มีพิษมีภัยอย่างบัลแกเรีย

แต่อนิจจา ไมเคิลผู้น่าสงสาร เขาไม่เคยรู้ตัวเลยสักนิดว่า การเดินทางในครั้งนั้น จะทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล


2.


วันที่ 30 พฤษภาคม 2005 ห้าวันหลังเกมแชมเปี้ยนส์ลีกนัดชิงชนะเลิศ มาร์ติน จอร์เจฟ บาร์เทนเดอร์หนุ่มแห่งโรงแรมโกลเด้น แซนด์รีสอร์ท เข้ากะทำงานเป็นปกติ

สำหรับจอร์เจฟ วันนี้เขารู้สึกว่างานหนักเป็นพิเศษ มีนักดื่มหลายสิบ ทั้งคนท้องถิ่น และชาวต่างชาติเข้ามาสั่งเครื่องดื่มไม่ขาดสาย

อย่างไรก็ตาม ถึงงานจะหนักแต่เขาก็ไม่ได้คิดมากอะไร เพราะเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบตีห้าแล้ว อีกชั่วโมงเดียวบาร์ก็จะเลิก และเหล่าขี้เมาก็จะกลับไปนอนตามเดิม

ทว่าเรื่องกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น เมื่อไปๆมาๆมีเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันระหว่างสิงห์ขี้เมาอังกฤษกับ กลุ่มนักดื่มท้องถิ่นชาวบัลแกเรียน จนเหตุการณ์ลุกลามใหญ่โต กลายเป็นสนามมวยขนาดย่อม

ด้วยหน้าที่ จอร์เจฟ รีบกระโจนออกไปห้ามปรามและแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกันทันที แต่ความหวังดีก็กลับนำพาโชคร้ายมาให้ เมื่อจู่ๆ ชายสามคนในกลุ่มนักดื่มอังกฤษ เข้าใจว่า จอร์เจฟ เป็นกลุ่มบัลแกเรียนที่มีเรื่องกัน จึงจับรุมซ้อมทั้งชก ,ถีบ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนบาร์เทนเดอร์วัย 25 ลงไปกองกับพื้น

จากนั้น หนึ่งในสามคนดังกล่าวก็คว้าก้อนอิฐบล็อกที่เอาไว้ตกแต่งร้าน ฟาดกบาลจอร์เจฟที่ไม่มีทางสู้แบบสุดแรง

มาร์ติน จอร์เจฟ แน่นิ่งไปทันที เหลือเพียงลมหายใจรวยริน ผลการตรวจของแพทย์หลังจากนั้นยืนยันว่า เขากะโหลกร้าว โอกาสรอดน้อยมาก หรือถ้ารอดมาได้ ก็ต้องมีอาการเจ็บปวดไปเรื่อยๆตลอดชีวิตอยู่ดี

ความรุนแรงของคดีนี้ ถือเป็นเรื่องใหญ่ระดับสูงสุด ตำรวจท้องถิ่นตั้งข้อหาพยายามฆ่ากับคนที่ใช้ก้อนอิฐทำร้ายจอร์เจฟทันที

แต่ปัญหาเดียวของคดีนี้ก็คือ ด้วยความมืดและชุลมุน จึงไม่มีใครเห็นหน้าคนลงมือแน่ชัด แต่พยานหลายปากยืนยันว่า เป็นชายชาวอังกฤษรูปร่างท้วม มีสำเนียงการพูดเป็นสเกาเซอร์

เมื่อตำรวจได้รูปพรรณสัณฐานของคนลงมือ ก็เริ่มค้นหาทันที และก็ช่างบังเอิญ ที่ในโรงแรมโกลเด้น แซนด์รีสอร์ท มีชายอังกฤษร่วงท้วมอยู่เพียงคนเดียว ที่ไม่มีหลักฐานยืนยันที่อยู่ของตัวเอง

ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

ไมเคิล ชิลด์ เด็กหนุ่มผู้โชคร้ายของเรานั่นเอง


3.


ชิลด์ยืนยันว่า เขานอนหลับอยู่ในห้อง และไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ แต่ตำรวจบัลแกเรียไม่รับฟังอะไรทั้งสิ้น เพราะเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ผู้ร้ายมักจะปากแข็ง

ถึงแม้ตำรวจจะไม่มีหลักฐานที่จะมัดตัวชิลด์ ทั้งหลักฐานนิติเวช,กล้องวงจรปิด และดีเอ็นเอ แต่คำให้การของพยาน 9 ปาก ที่ให้รูปพรรณสัณฐานนั้นตรงกับบุคลิกของชิลด์ทุกประการ

เขาไม่มีพยานช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ ไม่มีหลักฐานอะไรรองรับเช่นกัน ดังนั้นลำพังแค่การยืนกรานกระต่ายขาเดียวว่าไม่ได้ก่ออาชญากรรม จึงไม่มีน้ำหนักใดๆ

ซึ่งบทสรุปนั้นก็คือตำรวจยัดชิลด์เข้าคุก และปิดคดีอย่างรวดเร็วทันใจ

เดชะบุญที่จอร์เจฟ รอดชีวิตมาได้อย่างมหัศจรรย์ (รูปด้านซ้าย จอร์เจฟกับแผลผ่าตัดที่ศีรษะ) ทำให้บทลงโทษ เหลือเพียงจำคุก 15 ปี พร้อมโทษปรับอีกเจ็ดหมื่นปอนด์ แทนที่จะเป็นจำคุกตลอดชีวิต


แต่สำหรับชิลด์ เด็กหนุ่มขี้อายจากย่านเวฟเวอร์ทรีคนที่ยืนยันหนักแน่นว่าไม่ได้ทำ การโดนจำคุกแค่วันเดียว ก็หนักหนาเกินไปสำหรับเขาแล้ว

เขาแค่ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องมาชดใช้ความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อด้วย

ชิลด์ เรียนจบไฮสคูลด้วยคะแนนระดับท็อป และสอบคัดเลือกเข้าเป็นวิศวกรในการรถไฟแห่งชาติได้สำเร็จ อนาคตอันงดงามรอเขาอยู่ข้างหน้า

แต่ทุกอย่าง ชีวิต ความฝัน ความหวังก็จบสิ้นลงง่ายๆ โดยที่เขาไม่มีสิทธิ์จะเรียกร้องขอความเป็นธรรมด้วยซ้ำ


4.


ทันทีที่มาเรีย ชิลด์ ได้รับข่าวว่า ไมเคิล ลูกชายคนเดียวของครอบครัวติดคุกในความผิดที่ไม่ได้ก่อที่บัลแกเรีย น้ำตาเธอก็ไหลออกมา

หลังหยุดร้อง สิ่งแรกที่เธอนึกออก คือโทรไปหาสถานฑูตสหราชอาณาจักรที่บัลแกเรีย แต่มันก็ไม่ได้ผลอะไร เพราะทางการบัลแกเรียตัดสินคดีไปแล้ว และอังกฤษก็ไม่มีอำนาจแทรกแซงอธิปไตยของชาติอื่นด้วย

เธอสับสน ว้าวุ่น ทรมาน ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปทางไหน ใครกันที่จะช่วยลูกชายของเธอให้ออกมาจากนรกที่ต่างแดนได้

มาเรียรู้จักลูกชายของเธอดี ไมเคิลเป็นคนขี้อาย เรียบร้อย ไม่ใช่คนประเภทที่จะมีเรื่องกับใคร ดังนั้นเธอไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเขาจะทำร้ายคนอื่นจนปางตายได้ แต่ถึงจะเชื่ออย่างนั้นก็เถอะ เธอจะทำอะไรได้ ลำพังคนเดียว จะเปลี่ยนแปลงเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร

แม้แต่เงินจะจ้างทนายฝีมือดีสักคนไปสู้คดีให้ที่บัลแกเรีย พวกเขาก็ยังไม่มีปัญญา เพราะเธอก็เป็นแค่แม่บ้านธรรมดา ในขณะไมเคิล ซีเนียร์ สามีของเธอก็เป็นแค่พนักงานเช็ดกระจกเท่านั้นเอง

ตอนนี้เธอมืดแปดด้าน อย่างเดียวที่เธอทำได้ตอนนี้ก็คือไปเรียกร้องผ่านสื่อ โดยขอความเป็นธรรมจากหนังสือพิมพ์ลิเวอร์พูล เอ็คโค่ สื่อมวลชนท้องถิ่น

ได้แค่บทสัมภาษณ์ในคอลัมน์เล็กๆ ...แค่นั้นจริงๆ

แต่ไม่มีใครคาดคิดเลย ว่าแค่บทความชิ้นเดียวจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่อย่างไม่น่าเชื่อ


5.


เพราะหนึ่งในกลุ่มคนที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนั้นคือ สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีม ซึ่งเป็นจิตวิญญาณของชาวเมืองลิเวอร์พูล

เจอร์ราร์ดเองก็ยอมรับว่าไม่รู้จะทำอะไรได้บ้างกับเรื่องนี้ แต่จะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เพราะไมเคิลคือแฟนของลิเวอร์พูล ที่ควรจะมานั่งชมเกมที่แอนฟิลด์ มากกว่านั่งดูไฮไลท์ของหงส์แดง ผ่านทีวีในคุกบัลแกเรีย

สตีวี่ควักเงิน 50,000 ปอนด์ให้ครอบครัวชิลด์นำไปสู้คดี จ้างทนาย ซึ่งถึงแม้ผลการตัดสินจะไม่เปลี่ยน แต่ก็ทำให้คดีนี้กลับมาอยู่ในความสนใจของสื่อมวลชนหลักๆในประเทศ


จากความพยายามของเจอร์ราร์ด ได้ส่งอิทธิพลไปสู่แฟนๆลิเวอร์พูลคนอื่นๆ มีการจัดตั้งเว็บไซต์เรียกร้องให้ปล่อยไมเคิล ชิลด์ อย่างน้อยสามเว็บ มีการเรี่ยไรเงินในการสู้คดี และมีการเผยแพร่ข่าวต่อสังคมถึงความบริสุทธิ์ของชิลด์อย่างจริงจัง และเป็นเรื่องเป็นราว

เดือนสิงหาคมปีเดียวกัน เจอร์ราร์ด ,เจมี่ คาร์ราเกอร์ และราฟาเอล เบนิเตซ ได้เข้าไปพบผู้บริหารระดับสูงของลิเวอร์พูล พร้อมกับแสดงเจตจำนงว่า สโมสรควรยกระดับการต่อสู้ในเรื่องนี้ให้จริงจังไปอีกขั้น

ดังนั้นเกมแรกที่แอนฟิลด์ ในซีซัน 2005-06 กับซันเดอร์แลนด์ จึงมีการแปลอักษรที่สแตนด์ เดอะ ค็อป ว่า 'FREE MICHAEL' หรือปล่อยไมเคิลให้เป็นอิสระนั่นเอง ซึ่งสโมสรเอง นอกจากโดนปรับแล้ว ก็ยังโดนคาดโทษจากฟีฟ่าอย่างหนักในเรื่องนี้ทีเดียว เพราะฟีฟ่ามีกฎที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า ห้ามทีมฟุตบอลเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง

แต่คำเตือนของฟีฟ่า ก็ไม่ทำให้ลิเวอร์พูลหยุดนิ่งได้ เรด แมชชีน นอกสนาม ยังดำเนินกลไกของมันต่อไปเรื่อยๆ

ในที่สุด ความร่วมแรงร่วมใจของสโมสร สื่อมวลชนทั้งสองค่ายในเมือง (เอ็คโค่ -เดลี่ โพสต์)และนักเตะทุกคนเพื่อไมเคิล ส่งผลให้โทนี่ แบลร์ นายกรัฐมนตรี ณ เวลานั้น หันมาแทรกแซง และจากความช่วยเหลือของบุคคลทางการเมืองหลายๆฝ่าย ทำให้โทษของชิลด์ลดเหลือจำคุกแค่ 10 ปีเท่านั้น พร้อมกับได้รับโอนถ่ายนักโทษให้อยู่ในความดูแลของรัฐบาลสหราชอาณาจักร

ซึ่งตอนนี้เท่ากับว่าชิลด์กลายเป็นนักโทษของอังกฤษแล้ว ถึงแม้จะเป็นคดีของบัลแกเรียอยู่ก็ตาม

ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้ครับ ประเด็นคือ เมื่อชิลด์ถูกโอนมาให้อยู่ในความรับผิดชอบของอังกฤษ จะทำให้เรียกร้องขอสิทธิ์พระราชทานอภัยโทษจากควีนอลิซาเบ็ธที่สองได้ ซึ่งจะทำให้ชิลด์พ้นโทษกลายเป็นอิสระทันที

โอกาสที่แทบจะเป็นศูนย์ในตอนแรก ... เริ่มมองเห็นและจับต้องได้แล้ว


6.


เกรแฮม แซนคีย์ ช่างอิเล็กทรอนิกส์วัย 20 ปี (รูปด้านขวา) เป็นหนึ่งในกลุ่มลิเวอร์พูลแฟนคลับที่ไปฉลองแชมป์ยุโรป ที่บัลแกเรีย


เกือบจะรุ่งเช้าแล้ว แต่ราตรียังไม่เลิกรา เขากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ ดื่มเบียร์กันไม่บันยะบันยัง จนเกือบทุกคนเมาแอ๋ และโหวกเหวก โวยวาย ราวี คนอื่นไปทั่ว

ไปๆมาๆ ก็เลยไปมีเรื่องกับคนท้องถิ่นที่หมั่นไส้ในความกร่างของกลุ่มนักดื่มหยำเปเหล่านี้

เหตุการณ์ชกต่อย ตะลุมบอนกันจนเป็นพัลวันไปหมด แซนคีย์ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เขารู้แค่ว่าไล่ต่อยคนที่ไม่ใช่พวกเดียวกับเขาก็พอแล้ว

แซนคีย์ กับเพื่อนอีกสองคน แบรดลีย์ ธอมป์สัน และแอนโธนี่ วิลสัน ให้การสารภาพภายหลังว่า ได้รุมอัดชายหนึ่งจนลงไปกองกับพื้น ก่อนที่แซนคีย์จะเป็นคนใช้อิฐบล็อกอัดชายคนนั้นจนแน่นิ่ง

หลังก่อเหตุทั้งสามคนเผ่นแน่บทันที ทิ้งไว้เพียงแค่ร่างของมาร์ติน จอร์เจฟ ที่ใกล้ไร้วิญญาณเต็มทน

วันรุ่งขึ้น เมื่อตำรวจบัลแกเรีย มาสอบปากคำทั้งสามคน พวกเขาให้การปฏิเสธทั้งหมด โดยยืนยันที่อยู่ของกันและกันเอง จากนั้นก็ชิ่งหนีความผิด บินกลับอังกฤษทันที

ดังนั้น เมื่อมีข่าวว่าไมเคิล ชิลด์ถูกจับกุม แซนคีย์รู้ทันทีว่า นั่นเป็นการจับผิดตัวแล้ว เขารู้ดีแก่ใจว่าใครเป็นคนทำ

โอเค เขารู้สึกเสียใจที่คนไม่รู้เรื่องจะต้องชดใช้ความผิดที่ไม่ได้ก่อ

แต่จะให้เขาบินไปนอนจมคุกบัลแกเรียแทนน่ะหรอ ฝันไปรึเปล่า !


7.


สิทธิ์การขอพระราชทานอภัยโทษ ของอังกฤษจะแตกต่างกับที่ไทยพอสมควร

ที่นี่เลขาธิการตุลาการ (Secretrary of Justice) จะเป็นคนตัดสินใจเด็ดขาดเรื่องการยื่นขออภัยโทษให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วควีนอลิซาเบ็ธก็เป็นแค่นามเท่านั้น ถ้าเลขาธิการคนนี้ยื่นเรื่องไป ก็เท่ากับว่า นักโทษคนนั้นเป็นอิสระทันที

แต่การจะขออภัยโทษได้นั้น มีเงื่อนไขหลักๆคือผู้กระทำผิดตัวจริงจะต้องได้รับการลงโทษ หรือไม่ก็มีหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวบริสุทธิ์


เกรแฮม แซนคีย์ ที่เคยออกมายอมรับว่าเป็นคนก่อเหตุ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมเดินทางไปดำเนินคดีที่บัลแกเรีย การที่อยู่อังกฤษต่อไปจะทำให้เขาปลอดภัย เพราะทางบัลแกเรียก็ทำอะไรไม่ได้

ปัญหาทุกอย่างเลยคาราคาซังอยู่แบบนี้ คนทำผิดตัวจริง ไม่ยอมรับโทษ คนที่ไม่ผิดเลยต้องชดใช้โทษแทน

เรื่องนี้ดูแล้วก็เหมือนจะถึงทางตัน และชิลด์คงต้องจำใจติดคุกสิบปีเต็มๆ ในคดีที่ทุกคนก็รู้ดีว่าเขาบริสุทธิ์

อย่างไรก็ตาม ทางสโมสรลิเวอร์พูล กับกลุ่มแคมเปญเรียกร้องให้ปลดปล่อยชิลด์ ยังไม่ยอมถอดใจ พวกเขาเดินหน้าไปอีกเรื่อยๆ

มีการแปลอักษรอีกครั้งในแอนฟิลด์ ซีซั่นที่แล้วในเกมกับเวสต์แฮม ด้วยคำว่า 'FREE MICHAEL NOW' และคราวนี้สโมสรก็โดนฟีฟ่าปรับเป็นเงินก้อนโตอีกรอบ ซึ่งแหล่งข่าวเชื่อว่าอยู่ในหลักแสนปอนด์

ในขณะที่สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด กับ เมลิซซ่า ชิลด์ พี่สาวของไมเคิล เดินหน้าเข้าไปพูดคุยกับ แซนคีย์ ในฐานะของคนลิเวอร์พูลด้วยกัน ให้เห็นใจคนที่ไม่ได้กระทำผิด

การเจรจา พูดคุย เกิดขี้นหลายรอบ แต่แซนคีย์ ก็ยืนกรานว่าจะไม่มีทางไปบัลแกเรียแน่นอน

ความพยายามของทุกฝ่ายดำเนินไปเป็นเวลานับปี ซึ่งถึงเดือนนี้ ก็ผ่านไปเกือบสี่ปีครึ่งที่ไมเคิลติดคุก จนเจ้าตัวเองก็ถอดใจไปแล้ว ว่าคงไม่ได้ออกจากห้องขังแน่


ทว่า... จู่ๆปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น เมื่อ แจ๊ก สตรอว์ เลขาธิการตุลาการ ออกมายืนยันต่อสื่อว่า เขาได้รับหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ไมเคิล ชิลด์ ไม่ใช่คนก่อคดี และจะยื่นเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษให้เร็วที่สุด

หลักฐานดังกล่าวคืออะไร ?

คำตอบคือนอกจากแจ๊ก สตรอว์ คงไม่มีใครรู้ เพราะแม้แต่สื่อระดับเดอะ ซัน และบีบีซี ก็ยังไม่รู้ว่าหลักฐานชิ้นนั้นคืออะไร ได้กันแต่คาดเดาเท่านั้น ยังเป็นปริศนาคาใจมาจนถึงวันนี้

อย่างไรก็ตาม นาทีนี้ ทุกๆคนไม่มีใครสนใจเรื่องหลักฐานอะไรนั่นแล้วครับ ทุกคนสนใจแต่ผลลัพธ์เท่านั้น

นั่นคือชิลด์ กำลังจะได้อิสรภาพที่ควรเป็นของเขากลับคืนไป

และแล้ว วันที่ 9 กันยายน 2009 การรอคอยของชาวเมืองลิเวอร์พูลก็สิ้นสุดลง เมื่อ ไมเคิล ชิลด์ ถูกปล่อยตัวจากสถานกักกันวอร์ริงทอม กลับสู่อ้อมอกครอบครัว


4 ปี แห่งความว่างเปล่า ถึงจะทรมาน แต่ในที่สุดเขาก็หลุดพ้นมันได้เสียที


8.


การทุ่มเทเพื่อชิลด์ ของลิเวอร์พูลนั้น ได้รับการยกย่องอย่างมากจากสื่อมวลชนในอังกฤษ

เพราะนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของแฟนบอลแค่คนเดียว สโมสรไม่ต้องถึงกับทำให้ตัวเองเจ็บตัวขนาดนี้ก็ได้ ... แต่ลิเวอร์พูลก็ทำ

ก่อนที่เรื่องราวของชิลด์จะจบลงเป็นแค่ความทรงจำ ทางสโมสรให้ของขวัญปลอบใจชิ้นสุดท้ายกับไมเคิลก็คือ ตั๋วซีซั่นทิกเก็ต เข้าชมทุกเกมในแอนฟิลด์ได้ฟรี เป็นเวลา 4 ซีซัน เท่ากับ 4 ปีที่เขาต้องติดคุกพอดี


ในขณะที่เฟอร์นันโด ตอร์เรส มอบสตั๊ดคู่ที่ยิงประตูเยอรมัน ในนัดชิงชนะเลิศ ยูโร 2008 เป็นของที่ระลึก ซึ่งชิลด์เองก็ยอมรับว่า เขาคงไม่กล้าใส่มันไปเล่นในสนามแน่ๆ

นอกจากนั้นยังมีการ์ดแสดงความยินดีในอิสรภาพ ที่เขียนโดยนักฟุตบอลทุกคน รวมทั้งอดีตหงส์อย่างชาบี อลองโซ่ และซามี ฮูเปีย ก็ร่วมส่งข้อความจากต่างประเทศถึงชิลด์เช่นกัน

แน่นอน ทุกคนรู้ดีว่า มันอาจจะเทียบไม่ได้กับสี่ปีอันโหดร้ายของเขา

แต่อย่างน้อยที่สุด ก็หวังว่าจะทำให้ไมเคิล ชิลด์กลับมายิ้มได้เต็มหัวใจอีกครั้ง


,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,


เมื่อก่อนผมเข้าใจมาตลอดว่า You'll never walk alone หมายความถึง เวลาเราต้องเหงาต้องโดดเดี่ยว ยังมีใครสักคนเดินไปด้วยกันตลอดทาง

เวลาผ่านไป ตอนนี้ผมเพิ่งเข้าใจความหมายของมันมากขึ้นอีกนิดครับ

You'll never walk alone หมายถึงเวลามีปัญหา เรามีใครสักคนที่พร้อมจะช่วย อยู่เคียงข้างไม่ทอดทิ้งต่างหาก

... เพราะเพื่อนแท้จริงๆ ย่อมไม่ทิ้งกันในวันที่ลำบากที่สุด

ลิเวอร์พูลยืนหยัดอยู่เคียงข้างแฟนบอลของตัวเองมานับสิบๆปีแล้ว ตั้งแต่ยุคบิล แชงคลีย์ ,บ็อบ เพสลีย์ หรือร็อบบี้ ฟาวเลอร์ที่ช่วยเหลือชาวอู่ต่อเรือที่โดนไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม จนมาถึงเคสไมเคิล ชิลด์ที่ผ่านมา

You'll never walk alone จึงไม่ใช่แค่สโลแกนเท่ๆที่ ลิเวอร์พูลเลือกมาใช้ เพราะทำให้ภาพลักษณ์ของสโมสรดูดี แต่เพราะมันเป็นอย่างนั้น เป็นลักษณะเฉพาะตัวของสโมสรแห่งนี้จริงๆ

สำหรับเรื่องในสนาม ก็จริงอยู่ครับ ที่ปัจจุบัน ลิเวอร์พูล อาจไม่ใช่สโมสรหมายเลขหนึ่งในยุโรปเหมือนอดีตที่ผ่านมา ระดับชื่อชั้นตัวผู้เล่น ทั้งบาร์เซโลน่า และเรอัล มาดริด นำห่างไปไกลหลายก้าวแล้ว

ขณะที่ลีกในประเทศ ก็จ่อเตรียมโดนแมนฯยูไนเต็ดแซงสถิติแชมป์สูงสุดเข้าไปทุกขณะ แม้แต่การติดหนึ่งในสี่ซีซันนี้ก็ยังไม่แน่เลยด้วยซ้ำ เพราะคู่แข่งทั้งเชลซี,อาร์เซนอล ,ซิตี้ หรือสเปอร์ส ก็เขี้ยวทุกทีม

แต่รู้อะไรมั้ยครับ

ผมไม่เคยเสียใจเลยที่รักทีมนี้

ผมไม่เคยเสียใจเลยที่เลือกลิเวอร์พูล

.. ผมยอมรับครับ ว่าเราคนไทย กับ เมืองลิเวอร์พูลอาจจะอยู่ห่างไกลกันคนละครึ่งโลก

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันก็ไม่เห็นเป็นไร ใครจะว่ายังไง ผมก็รับได้

เพราะผมก็เต็มใจที่จะรัก ภูมิใจที่เชียร์อยู่ดี

หลายปีที่ผ่านมา ผมเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ ถึงคำกล่าวที่ว่า 'บอลนอกแค่สะใจ บอลไทยอยู่ในสายเลือด'

แต่ไม่รู้นะครับ ผมคิดต่างออกไปนิดหน่อย

เพราะสำหรับผม...

ลิเวอร์พูลอยู่ในหัวใจ บอลไทยอยู่ในสายเลือด

เป็นคำจำกัดความ ที่อธิบายความรู้สึกได้ชัดเจนเลย










ปล. ขอบคุณรูปจากอินเตอร์เนตด้วยครับ ยกเว้นรูปตอร์เรส ถ่ายจากหนังสือพิมพ์เดลี มิร์เรอร์ครับ
ปล.2 จริงๆรายละเอียดของคดีไมเคิล ชิลด์ ละเอียดและยิบย่อยมากๆ ผมจึงกรองมาแต่ประเด็นสำคัญเท่านั้นนะครับ (ไม่งั้นจะยาวเยื้อยยิ่งกว่านี้แน่) ซึ่งถ้าตกประเด็นอะไรไปก็ขออภัยครับ
ปล.3 ขอขอบคุณผู้อ่านทุกคนนะครับ คำวิจารณ์ของท่านจะเป็นประโยชน์มากๆกับผมเลยครับ
------------------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณ Soccersuck ได้รู้ความจริง ได้ยิ่งกว่าฟุตบอล




นาฬิกาทราย
[newvid@hotmail.com]

_________________


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์