คุยสบายฯ: กับ JACKIE อดิศรณ์ พึ่งยา, สนทนาภาษา...เด็กหงส์

    บ่ายแก่ๆ วันศุกร์ที่ผ่านมา ทีมงาน www.liverpoolthailand.com (LTF) ได้มีนัดพูดคุยกับ เด็กหงส์ คนหนึ่งครับ จะบอกว่าเป็นเดอะค็อปธรรมดาๆ คนหนึ่งก็คงจะไม่ถูกนัก ต้องบอกว่า เป็นเดอะค็อปตัวพ่อของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ถามมาเถอะทุกเรื่องที่เกี่ยวกับลิเวอร์พูล พี่เค้ารู้หมด เพราะเป็นคนที่มีข้อมูลของลิเวอร์พูลอยู่ในเมมโมรี่เยอะมาก ไม่ใช่เฉพาะแต่ทีมลิเวอร์พูลนะครับ ต้องบอกว่าแทบทุกทีม หรือ กีฬาแทบทุกประเภทเลยดีกว่า ถือได้ว่าเป็นกูรูผู้รอบรู้ในเรื่องกีฬาอย่างแท้จริงเลยทีเดียว
ใครได้อ่านหนังสือพิมพ์ สตาร์ ซอคเก้อร์ ฉบับเมื่อวานนี้ (หัววันอังคาร ที่ 14 กรกฎาคม 2552) ก็คงพอจะทราบว่า ทีมงาน LTF ของเราได้ไปพูดคุยกับใครมา เอาละครับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปพูดคุยกับเขากันเลยดีกว่าครับ


Lady and Gentlemen, please welcome JACKIEEEEEEE อดิศรณ์ พึ่งยาาาาาาาาาาาา (อ่านออกเสียงแบบโฆษกบนเวทีมวยโลกนะครับ จะได้อารมณ์มาก อิอิ)


LTF: สวัสดีครับพี่แจ๊คกี้
JACKIE: สวัสดีครับทุกคน

LTF: พี่แจ๊คกี้เริ่มเชียร์ เริ่มรู้จักลิเวอร์พูล แล้วก็คลั่งไคล้ลิเวอร์พูลมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?
JACKIE: จริงๆ ต้องท้าวความไปตั้งแต่สมัยอยู่ ป.4 เลยนะ ตอนนั้นยังไม่มีถ่ายทอดสด ไม่มีอะไรทั้งสิ้นนะครับ เพียงแต่ว่าไปอ่านในหน้ากีฬาของไทยรัฐเจอ คือ เป็นคนชอบอ่านหนังสือพิมพ์อยู่แล้ว เปิดหน้ากีฬาก็จะเจอพาดหัวต่างๆ ทีนี้มันจะมีพาดหัวข่าวที่น่าสนใจอยู่ข่าวหนึ่ง คือประมาณว่า หงส์แดงจ่าฝูง หงส์แดงลิเวอร์พูล อะไรแบบเนี๊ย จะเจอบ่อยมาก เข้าใจว่าที่เจอบ่อยคงเป็นเพราะผลงานในช่วงนั้นเค้าดี ตอนนั้นเราเด็กๆ ด้วย อีกอย่างชื่อหงส์แดงลิเวอร์พูล มันฟังดูเพราะดี มันเลยซึมซับมา แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มอ่านสตาร์ซอคเก้อร์รายสัปดาห์ ก็เริ่มได้ข้อมูล, สะสมข้อมูลมากขึ้น แล้วก็จะเน้นไปที่ทีมเนี๊ย หงส์แดงลิเวอร์พูล คือมันเหมือนเป็นการ.. อืม จะบอกว่าเป็นรักแรกพบก็ได้นะ

LTF: คือช่วงนั้นเรามีจุดสนใจแล้ว ว่าทีมนี้แหละ ที่เราจะต้องติดตาม
JACKIE: อ๋อ ไม่ใช่ ไม่ได้กะเกณฑ์อะไร เพียงแต่ว่า จะต้องไปหาเรื่องของทีมนี้มาอ่านแค่นั้นเอง พอดีช่วงนั้นห้องสมุดที่โรงเรียนจะมีหนังสือพวกสตาร์ซอคเก้อร์เก่าๆ อยู่ ที่เค้าบริจาคมาหรืออะไรพวกเนี๊ย ก็จะอ่าน พวกชู๊ตโกลล์ ก็อ่าน ก็เปิดๆ ดูหมด แต่เรื่องของลิเวอร์พูลจะสนใจเป็นพิเศษ พอเริ่มรู้จักมากขึ้น ก็เริ่มตามดู เอ้ย ตามอ่านมากกว่า เพราะตอนนั้นหาดูไม่ค่อยได้อยู่แล้ว

LTF: ตอนนั้นลิเวอร์พูลดังที่สุดเลยรึเปล่าครับ?
JACKIE: ตอนนั้นใครดัง ไม่ดัง เราไม่รู้ เพราะเราเป็นเด็กไง ก็จะอ่านมาเรื่อยๆ สุดท้ายเนี่ย พอขึ้น ม.1 ห้องสมุดโรงเรียน คือ โรงเรียนที่พี่เรียนอยู่เนี่ย โรงเรียนประจำอำเภอ โรงเรียนสองพี่น้องวิทยา จ.สุพรรณบุรี ห้องสมุดเค้าจะมีนิตยสารทุกอย่าง กีฬาเค้าก็มีซอคเกอร์ เพราะอาจารย์แนะแนวเค้าชอบกีฬาด้วย อาจารย์แนะแนวเป็นผู้หญิงนะ แต่ชอบกีฬา อาจารย์เค้าก็จะรับสตาร์ซอคเกอร์มาให้นักเรียนอ่านทุกสัปดาห์เลย เล่มละ 5 บาทได้มั๊ง ก็จากจุดนี้แหละที่ทำให้เราได้เริ่มติดตามมากขึ้น ก็จะตามพวกผลแข่งอะไรพวกเนี๊ย พวก แมตช์แฟร็ค พวกภาษาอังกฤษ ไรพวกนี้ แล้วแน่นอนก็ต้องมีคัมภีร์ฟุตบอล ก็เริ่มๆ อ่าน ก็เริ่มรู้จักมากขึ้น แล้วก็จะพูดถึงทีมนี้บ่อย



LTF: แล้วตอนนั้นชอบใครเป็นพิเศษครับ บรรดานักฟุตบอลของทีม?
JACKIE: คือถ้าถามว่าจะชอบเป็นพิเศษมั๊ย? ตอนนั้น ไม่มีว่าชอบใครเจาะจงเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่า นักเตะทุกคนของลิเวอร์พูลเนี่ยเราจะรู้จักหมด เพราะเราจะอ่านเยอะ ตั้งแต่ผู้รักษาประตูอย่าง บรู๊ซ กร๊อบเบลล่าร์ กองหลังอย่าง มาร์ค ลอว์เลนสัน, อลัน แฮนเซ่น กองกลางพวก รอนนี่ วีแลน, ฟิลล์ นีลล์ อะไรอย่างเนี๊ย คือเราจะไล่ชื่อได้หมด เคนนี่ ดัลกริช, เอียน รัช นี่ตอนนั้นยังคาบเกี่ยวอยู่ว่าจะได้เล่น ไม่ได้เล่นทีมชุดใหญ่อยู่ ที่อ่านตอนนั้น รู้สึกว่าลิเวอร์พูลจะขาดกองหน้า พอหมด เควิน คีแกน, จอห์น โตแช็ค ไป พอมารุ่นหลังก็มีดัลกริชคนเดียว ตัวเป้าก็ยังขาดๆ พอเอียน รัช ก็จ่อๆ ว่าจะขึ้นชุดใหญ่รึเปล่า อะไรอย่างนี้ไง ประมาณนั้นแหละ เราจะเป็นอย่างนี้มากกว่า ไม่ได้รู้สึกว่าชอบใคร เพราะว่าเราก็ไม่ได้ดูไง อ่านอย่างเดียว แล้วจนกระทั่ง ม.2 ม.3 เริ่มมีเทปพวก เอฟเอคัพ มา แต่ถ้าตอนนั้นจะพูดถึงทีวีเนี่ย ที่ได้ดู สเปอร์สจะเยอะ แล้วก็แมนฯยูฯ เพราะว่าพวกนี้จะชิงเอฟเอคัพบ่อย สเปอร์สนี่แบบ หูยยยย ดังมากกกก มันจะมีพวก สารคดี พวกทรานส์เวิลด์ ที่ทำเรื่องราวเกี่ยวกับฟุตบอลมานำเสนอไรแบบเนี๊ย เราก็จะดู เกล็น ฮอดเดิ้ล นี่อยากรู้จักมาก แต่เราก็ไม่ได้ชอบนะ เพราะว่าเราเริ่มมาจากการอ่าน เกล็น ฮอดเดิ้ล, เรย์ คลีเม้นซ์ เรย์ คลีเม้นซ์นี่เราก็มารู้ทีหลัง อ้อ ที่แท้เค้าเป็นเด็กหงส์มาก่อน ตอนนั้นเค้าเป็นผู้รักษาประตูสเปอร์สซึ่งดังมาก พูดถึงทีวี ก็จะเป็นนี่แหละ สเปอร์ส แมนฯยูฯ ที่ได้ดูค่อนข้างบ่อย เพราะบอลลีกเมื่อก่อนไม่มีถ่ายอยู่แล้ว พอมีเทปเอฟเอคัพ หลังๆ ก็จะเริ่มเห็นลิเวอร์พูลมากขึ้นละ ก็จะมาคุย มาอะไรกันกับเพื่อนๆ แล้วเราก็จะเป็นคนเล่า เพราะเราอ่านในซอคเกอร์มาก่อน แล้วช่อง 7 นี่ก็เอาเทปเอฟเอ คัพ มาฉาย เริ่มดูมากขึ้น

LTF: ตอนนั้นเพื่อนๆ พี่แจ๊คกี้ ชอบลิเวอร์พูลเยอะรึเปล่า?
JACKIE: ก็ไม่นะ ก็คุยกันได้ เพียงแต่เค้าอยากรู้ เค้าก็จะมาถามเรา เพราะเห็นเราอ่านเยอะ อ่านพวกซอคเก้อร์ อ่านพวกเอ็กซ์ตร้า ที่ซอคเก้อร์เค้าทำ อย่างช่วงหลังฟุตบอลโลก ปี 82 เนี่ย ก็จะเป็นพวกยูโร ตอนนั้น พลาตินี่ดังมาก แล้วยุคนั้น เดนมาร์ค เริ่มขึ้นมา จากทีมเล่นฟุตบอลไม่เป็น เดนมาร์คเริ่มดัง จำได้ว่าพอบอลโลกปี 86 เดนมาร์คมาเล่น เราก็บอกพวกเพื่อนว่า เฮ้ย เดนมาร์คน่ากลัวนะ ตอนนั้นเดนมาร์คเจออุรุกวัย เพื่อนบอก เฮ้ย อุรุกวัยแชมป์โลก 2 สมัยนะ เพื่อนไม่เชื่อ ปรากฎเดนมาร์คถล่มอุรุกวัยไป 6-1 ทุกคนก็เลยเฮ้ย จอมข้อมูลนี่หว่า อะไรอย่างเนี๊ย เราก็บอกไม่หรอก คือ เราอ่านมา เค้าไม่อ่าน ไม่มีข้อมูล ก็พูดตามความรู้สึกว่า อุรุกวัยเป็นแชมป์โลกสองสมัยก็น่าจะเก่งกว่า อะไรประมาณเนี๊ย ส่วนลิเวอร์พูลเริ่มดูจริงๆ ก็ตอนที่ดัลกริชมาเป็นโค้ช เริ่มชัดเจนมากขึ้น นั่นถึงจะได้ดูว่า ลิเวอร์พูลเล่นเป็นยังไง

LTF: หลังจากได้ดูแล้ว ก็ได้เห็นฟอร์มการเล่นของนักเตะ ตอนนั้นพี่เริ่มชอบใครรึยังครับ?
JACKIE: ก็จริงๆ พอถึงตรงนั้นเนี่ย พอสะสมข้อมูลมาระยะหนึ่งเนี่ย ก็จะรู้เลยว่า มันต้องเป็น เคนนี่ ดัลกริช คนเดียว คนอื่นไม่ได้อีกแล้ว คือ ก็ชอบทุกคนอ่ะ จริงๆแล้ว แต่ถ้าจะให้เลือกเด่นคนนึงอะไรอย่างเนี้ย แต่บังเอิญ ระหว่างเรียน ก็เริ่มได้ดูเทปฟุตบอลอื่นบ้าง ได้ดูแบบหลายๆ อัน ได้อ่านประวัติคนอื่นๆ ที่เราชอบก็คือ โยฮัน ครัฟฟ์ รู้สึกแปลกดี ก็เป็นนักเตะที่เก่ง แต่ไม่ได้แชมป์โลก เฮ้ย เป็นไปได้ยังไง คือเราก็อ่าน พออ่านๆ ไป เออ เก่งเว้ย อะไรอย่างเนี้ย ก็ถ้าพูดถึงนักเตะที่แยกมาเป็นคนๆ เราก็จะชอบเค้า โยฮัน ครัฟฟ์ แต่ถ้าเป็นนักเตะของลิเวอร์พูลมันก็ชอบเกือบทุกคนอ่ะ แต่ดัลกริชอาจจะเด่นขึ้นมาคนนึง ใครๆ ก็ต้องชอบดัลกริช เพราะว่าสมองด้วย เก่ง เป็นนักเตะที่อัจฉริยะคนหนึ่งเลย

LTF: แล้วจุดนั้นน่ะครับ เกี่ยวกับเรื่องฟุตบอล มันทำให้ความใฝ่ฝันของพี่แจ๊คกี้ เริ่มต้นตรงนั้นเลยรึเปล่าว่า ต้องการอยากจะมาเป็นนักข่าว?
JACKIE: อ่อ อันนี้จะไม่เหมือนคนอื่นๆ นะ เพราะว่าไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่า จะมาเป็นผู้สื่อข่าวหรือทำงานเกี่ยวกับสื่ออะไรอย่างเนี๊ย คือ ความใฝ่ฝันจริงๆ คือ อยากเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ เป็นความใฝ่ฝันเลยว่าอยากเล่นฟุตบอล อยากติดทีมชาติ แต่ว่าโอกาสมันไม่มี อย่างว่า เราเด็กต่างจังหวัดด้วย มันก็ไม่ได้มีวิธีมาก เราก็ไม่มีโค้ชที่ดี หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นข้อจำกัด แต่ก็จะเล่นฟุตบอลอยู่ตลอด เล่นก็อกแก๊กๆ กับเพื่อนๆ นี่แหละ ตอนมัธยม

LTF: แต่ได้ข่าวว่า พี่แจ๊คกี้เซียนมากเลยนะ
JACKIE: อ๋อ พอมาอยู่จุฬาฯ นี่แหละ พอเข้าปี 1 เราก็เลือกคณะที่เรารู้สึกว่า เออ มันก็มีนักกีฬาอยู่เยอะ ก็มีนักฟุตบอลดังๆ ช่วงนั้นก็มี สุรชัย จตุรภัทรพงษ์, ภาคภูมิ นพรัตน์ ตอนนั้น ประเสริฐ เค้ามูล ยังไม่เข้า แต่ว่าได้เล่น แล้วพอดีช่วงนั้น อาจารย์ชาญวิทย์ ผลชีวิน เค้ามาเรียนโท แล้วก็เป็นโค้ช ทีมมหาลัย ทีมโค้ชจุฬา เล่นๆ กัน ก็ชวนไปคัด เค้าเห็นเราพอใช้ได้ แต่พอไปคัดก็ เราไม่เคยเล่นเกม ไม่เคยฝึกมา มันเหมือนกับคนพอเล่นได้ มีทักษะ แต่ความเข้าใจเกม มันไม่รู้ไง เพราะเราไม่เคยฝึก ไม่เคยเล่นเลย พอไปเล่นปุ๊บ อะไร งง วิ่งมั่วซั่วไปหมด สนามใหญ่โคตรใหญ่เลย คัดก็ไม่ติด ทีนี้พอไม่ติด ตอนนั้นก็นึก ทำไงดี ก็ถามตัวเอง เพื่อนๆ หลายคนก็เล่นดีนะ แต่ไม่ติด พอคัดไม่ติดทุกคนก็เลิก แต่เราก็ เอ้ย มีโอกาสแล้วนี่หว่า ได้ใกล้ชิดพวกนี้อยู่ อาจารย์หรั่งด้วย เราอ่านข้อมูล อ่านข่าวกีฬามาตลอด ก็รู้ว่าเป็นโค้ชที่เก่ง เราก็ไปอยู่กับทีมของเค้า ไปเล่นกับเค้าแหละ แล้วก็ไปเป็นเจ้าหน้าที่ทีม ก็เก็บบอล ไปยกน้ำ ทำทุกอย่างเลย ก็ได้ฝึกกับเค้า แล้วเวลาตัวขาด เค้าก็ให้เราเล่น เค้าขึ้นกระดานสอน เราก็รู้หมดทุกอย่าง

LTF: มาประมาณแบบ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์เลยนะพี่ แบบขัดร้องเท้ามาก่อนอะไรแบบเนี๊ย
JACKIE: 555 นั่นมันสเต๊ปบอลอาชีพครับ แต่เราแค่ฝึกประมาณนึง โอเค พวกเพื่อนๆ ในทีมก็รักไง เฮ้ย ใช้ได้เว้ย คนนี้ อะไรแบบนี้ เหมือนมีความพยายาม อาจารย์หรั่งเค้าก็ชอบไง เค้าคงชอบจากจุดนี้ พอขึ้นปีสองก็คัดอีก ก็ยังไม่ติด เราก็เลยได้จุด เลยไปเล่นกับราชประชา พวกพี่ๆ เค้าพากันไป ก็ได้คัด ตอนนั้นก็ได้เล่นถ้วย ค หลังจากนั้นเราก็เริ่มมีประสบการณ์ ก็มาคัดทีมจุฬาฯ ก็มาติดตอนปี 3 เนี่ย แต่เรามองนะ หนึ่ง เราอยู่กับทีมมา พวกเค้ารู้จักเรา สองก็คือ ตอนนั้นมันส่งรายชื่อ 20 คน คือ ถ้าส่ง 18 ไรงี้เราอาจจะไม่ติดก็ได้ เราคิดนะ เราคิดว่าเราไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้น แต่โอเคเราก็เล่นได้ เค้าคงตอบแทนในสิง่ที่เราพยายามกดดันมากกว่า ถามว่าเรามีทักษะมั๊ย? มี มีความเข้าใจเกมมั๊ย? เรามีละ เพียงแต่เราอาจจะขาดกระดูก ขาดอะไรที่มันต้องพัฒนาเกม



LTF: ขาดกระดูกไม่ไปร้านก๋วยเตี๋ยวอ่ะพี่? (มุกไอ้ต้อมครับ)
JACKIE: 555 อ่ะโถ่ แล้วตอนนั้นกสิกรเค้าฟอร์มทีมด้วย เค้าก็ดึงโค้ชชาญวิทย์ไป โค้ชชาญวิทย์ก็เลยให้เราไปลองดู ถ้าไม่ติดก็อาจจะได้งานทำ งานพิเศษ ไปดูแลทีมอะไรแบบนี้ได้ เค้าก็อยากให้เราอยู่ในนี้ อยู่ในทีม ตอนนั้นเราก็มอง เฮ้ย ลเนฟุตบอลเมืองไทยมันไปยากนะ

LTF: เลี้ยงตัวลำบาก
JACKIE: ใช่ พอดีก็มีอีกเป้านึง ไปเรียนพิเศษ จะเอ็นท์เข้าวิศวะ นี่ก็เป็นอีกความใฝ่ฝันนึงนะ แต่ก็ไม่มากเท่าฟุตบอล คือ ตรงนั้นต้องบอกเลยว่า มันเป็นความผิดพลาดของเรา มาถึงตรงนี้แล้วก็เจ็บใจเหมือนกัน คือ อย่าลังเลใจเลยว่า จริงๆ ถ้าเรารักอะไรนะ เราต้องมุ่งไปตรงนั้น แต่เราอย่างว่ามันลังเลใจ ก็คิดว่าตัวเองน่าจะเอ็นท์ติดด้วยนะ มีเพื่อนๆมาช่วยกันติว แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ พอไม่ได้ กลับมา อาจารย์หรั่งเค้ารู้ไง อาจารย์หรั่งเค้าก็เลยอบรม พูดให้ฟัง คือเค้าก็ให้แง่คิดที่ดีมากเลย เราก็รู้สึกดีใจมากเลยที่ได้รู้จักคนๆ นี้ เค้าไม่ได้เป็นแค่โค้ช เค้าเป็นทั้งครู เป็นทั้ง...ทุกอย่าง เค้าบอกว่า คนเราถ้ารักจะทำอะไรก็ต้องมุ่งไปตรงนั้น ประสบความสำเร็จหรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง แต่ขอให้เราได้ตั้งใจทำ ได้ไปให้ถึงที่สุด เราเนี่ย เหมือนเรากั๊ก เราอยากเป็นนักบอลทีมชาติ แต่เราไม่ไปต่อ พอมันเริ่มจะพัฒนา เรากลับเปลี่ยนทาง ถ้าเราไปต่อ เราอาจจะไปได้ดีกว่านั้นก็ได้ อาจจะไม่ติดทีมชาติ แต่อาจจะได้เป็นนักฟุตบอลสโมสรก็ได้ พอได้แง่คิดจากอาจารย์หรั่งปุ๊บเนี่ย ตัวเค้าก็บอกว่า ตัวเค้าเนี่ย รักฟุตบอล แล้วเค้าก็เคยอยู่ในอารมณ์เดียวกับเรา แล้วเค้าอยากเป็นนายร้อย เค้าก็ไปสอบเตรียมนะ สอบอยู่ 2-3 ปีอ่ะ ไม่ติด ก็เลยกลับมาเรียนฟุตบอล เล่นฟุตบอล แล้วก็เค้า เห็นมะ เค้าก็ประสบความสำเร็จ คือ ตอนแรกที่ทำกสิกรไทยนี่ ต้องบอกคนรุ่นหลังว่า มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะว่า เค้าทำทีมเล็กๆ กสิกรไทย แล้วขึ้นชั้นมา แล้วเป็นแชมป์ถ้วย ก. แล้วเป็นแชมป์ทวีปเอเชีย ตอนนั้นชนะทั้งญี่ปุ่น ชนะทั้งอาหรับ เค้าเป็นแชมป์สโมสรแห่งเอเชียเลยนะ แถมยังกลับไปป้องกันแชมป์ได้ด้วย 2 ปี ติดต่อกัน ซึ่งไม่เคยมีใครทำได้นะ

LTF: การเป็นแชมป์มันยาก แต่การป้องกันแชมป์ยากกว่า
JACKIE: ใช่ เพราะการเป็นแชมป์ในทวีปเอเชียนี่มันยากนะ อาจารย์หรั่งเค้าทำได้ กสิกรทำได้ มันยิ่งใหญ่มาก ก็ถือว่านั่นคือ ตัวของอาจารย์ชาญวิทย์ ว่าเค้ามุ่งไปแล้วเค้าประสบความสำเร็จ แต่เรามันกั๊ก เหมือนพอกลับมาแล้วมันล้มเหลว สุดท้ายเราก็ไม่เล่นอ่ะ ฟุตบอล พอเรียนจบเราก็คิดว่า เราคงเป็นครู เป็นโค้ชอะไรนี้แหละ เพราะเรียนมาด้านครูไง ก็เลยอยากเป้นครู สอนฟุตบอลอะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่เคยคิดเป็นนักข่าว นี่เล่ามาซะยาวเลย เพื่อจะบอกว่า ไม่เคยคิดเป็นนักข่าว 555

LTF: แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้มาเป็นนักข่าวล่ะพี่?
JACKIE: ก็ช่วงรอรับปริญญานะ สมัครงานไว้ที่หนึ่งก็กำลังรออยู่ว่าจะเรียกเราไปสัมภาษณ์รึเปล่า ทีนี้เราก็เป็นแฟนสยามกีฬาอยู่ด้วย เราก็อ่านเจอว่า เค้ารับสมัครผู้สื่อข่าวกีฬาต่างประเทศ ทำงานได้ มีความรู้ภาษาอังกฤษดี เราก็...เออ เราก็รู้นะ เราก็พอทำได้นี่หว่า ก็เลยลองยื่นใบสมัครดู เขียนจดหมายแนะนำตัวเองไป เค้าก็เลยเรียกไป ตอนแรกคิดว่าเค้าเรียกไปคงจะได้ทำมั้ง พอไปถึงคนมาสมัครเยอะ ต้องสอบ เค้าให้สอบก็สอบเราก็สอบ ความรู้ทั่วไปเรื่องกีฬา สอบภาษาอังกฤษ แปลบทความ แปลข่าว เราก็ทำไป ก็ปรากฎว่าเราได้เว้ย โคตรดีใจเลย

LTF: ตอนนั้นคัดเอาเยอะมั๊ยพี่?
JACKIE: เค้าเอาแค่ 4 คน ซึ่งถึงวันนี้ รุ่นนั้นก็ขาดไปคนนึงเค้าไปทำบางกอกโพสต์ อีก 3 คนที่เหลืออยู่ก็มี คุณฉุย, โมนาลิซ่า แล้วก็เรา

LTF: อ่ะโห แต่ละคน ขั้นเทพทั้งนั้นเลย
JACKIE: 555 ก็นั่นแหละ พอได้ทำปุ๊บ เค้าก็อธิบายเงื่อนไขต่างๆ ให้ฟัง ตอนนั้นเงินเดือน 4,500 เอง แต่ถ้าบรรจุก็จะได้ 7,500 แล้วก็บวกเบี้ยเลี้ยงอีกจำนวนหนึ่ง

LTF: พี่เริ่มทำงานที่สยามสปอร์ตเมื่อไหร่นะครับ?
JACKIE: ปี 92 อ่ะ เมื่อ 17 ปีที่แล้ว พอกลับมาบ้าน ก็โอเคนะ ก็ตรงฟิวล์นี่หว่า คือเพิ่งรู้ว่ามันก็ตรงฟิวล์นะ ก็เลยทำ พอทำก็ชอบด้วย ก็ดีใจ นั่นแหละ ตั้งแต่นั้นก็เลยทำมาเรื่อยๆ ครูเครออะไรก็ไม่ได้สอบเลย

LTF: แล้วพอมาทำที่นี่เค้าให้พี่ไปประจำการที่อังกฤษเลยรึเปล่า?
JACKIE: อูยยยย ยัง ก็ต้องทำงานก่อน ต้องพิสูจน์ตัวเองก่อนว่ามีความรับผิดชอบดีรึเปล่า อะไรต่างๆ นานา ก็ประมาณปีที่ 4 อ่ะ เค้าถึงได้ส่งไปทำงานที่อังกฤษ



LTF: แล้วที่ส่งไปอังกฤษเนี่ย งานชิ้นแรกของพี่แจ๊คกี้คืออะไร
JACKIE: จริงๆ ก่อนหน้านั้นไปทำข่าวมอเตอร์ไซด์ ชิงแชมป์โลกที่บาร์เซโลน่า แล้วก็เลยเดินทางขึ้นไปอังกฤษ ไปเที่ยว ขอไปเที่ยว เพราะอยากเจอของจริงไง ก่อนที่จะไปประจำการ อยากดูของจริงก่อน ก็เลือกไปดูลิเวอร์พูลอยู่แล้ว ปรากฎ ไปวันนั้นก็เสมอโคเวนทรี เอียน รัช ยังไม่เลิกเล่นเลย

LTF: นั่นคือแมตช์แรกที่ได้ดูลิเวอร์พูล?
JACKIE: ใช่ แมตช์แรกเลยที่ได้ดู ในแอนฟิลด์เลย ก็นั่นแหละ เป็นบรรยากาศครั้งแรก คือ เราก็ตั้งใจอยู่แล้วไง คุณพีรยุเค้าพาไป

LTF: เราเป็นนักข่าวไทยไปเนี่ย ฝรั่งเค้าให้การต้อนรับดีมั๊ย?
JACKIE: จริงๆ เค้าไม่รู้หรอกว่าเราเป็นใคร แต่เค้ารู้ว่าเรามาจาก สยามสปอร์ต ซินดิเคท เค้ามีชื่อบริษัทเราอยู่ พอเราไปขอตั๋วนักข่าวเค้าก็โอเค เพราะมันตั้งแต่รุ้นคุณ ทราวุธ นพจินดา แล้ว เค้าสร้างเอาไว้ดี รุ่นพี่เค้าสร้างเอาไว้ดี ปูทางเอาไว้หมดแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกสโมสรใหญ่ๆ เค้าจะมีชื่อบริษัทสยามสปอร์ตอยู่ ขอตั๋วไปก็ได้ตลอด ต้องให้เครดิตพวกพี่ๆ เค้า พวกหลังไปก็สบายแล้ว เพราะว่ามันมีชื่ออยู่แล้วอ่ะ แล้วก็... มารุ่นหลังก็มี โจ้ สุรศักดิ์ มากทวี ลิตเติ้ลโจ เค้าเป็นคนที่รักการดูฟุตบอลมาก เค้าดูแม้กระทั่งลีกเล็กๆ อ่ะ พวกเมเจอร์ต่ำๆ อย่างชาร์ลตันนี่ โจ้เค้าตามดูตั้งแต่อยู่ลีกแชมป์เปี้ยนชิพเลยนะ พอชาร์ลตันขึ้นชั้นมา เค้าทำหนังสือขอตั๋วไป อ้าว สยามสปอร์ต โห มาดูเราตั้งแต่อยู่แชมป์เปี้ยนชิพแล้ว เราก็ต้องให้เครดิตเค้านะ อืมมมม เค้าเป็นคนที่ใช้ได้ทีเดียว

LTF: พี่โจนี่ สยามสปอร์ตส่งไปใช่มั๊ยพี่?
JACKIE: ใช่ๆ

LTF: แล้วทำไมพี่เค้ายังไม่กลับอ่ะพี่ อยู่ยาวมาเป็นสิบปีแล้วนะเนี่ย 555 (แอบแซวพี่โจ้)
JACKIE: พอดีงานมันขยาย ธุรกิจมันขยาย เรื่องของการซื้อของที่ระลึก อย่างเมื่อก่อนสยามสปอร์ต จัดบอลใช่มะ จัดพวกแมนฯยูฯ ไรมาแบบเนี๊ย เรื่องต่างๆ พวกนี้ เราก็ต้องให้คนที่มีประสบการณ์เค้าดิวงาน

LTF: ตอนแรกผมคิดว่าพี่เค้าซื้อตั๋วไปโดด ไม่ใช่นะพี่ 555+
JACKIE: อ่อ ไม่ใช่ 555 ไม่ใช่ เค้าก็ตั้งใจทำงานเหมือนกัน จนกระทั้งเค้าอยู่มาปีนี้ก็ปีที่ 11 แล้ว เค้าอยู่ปี 97 เค้าอยู่ยังทันเราปีนึง จนตอนนี้เค้าก็เป็นพลเมืองของอังกฤษไปแล้ว ก็สบายไป



LTF: เอาละครับ ตอนนี้เรากมาถึงลิเวอร์พูลยุคปัจจุบันบ้าง อยากถามพี่แจ๊คกี้ว่า ตั้งแต่ที่พี่แจ๊คกี้ดูลิเวอร์พูลมา พี่แจ๊คกี้ชอบลิเวอร์พูลยุคไหนมากที่สุด?
JACKIE: ถ้านับเฉพาะที่ได้ดูจะๆ นะก็ต้องในยุคที่เคนนี่ ดัลกริช เป็นผู้จัดการทีม ซึ่งลิเวอร์พูลยุคนั้นก็จะคล้ายๆ กับลิเวอร์พูลยุคปัจจุบันนี้นะ คือ แพ้ยาก พอโดนก่อนก็ยิงคืนสบายอ่ะ แม้กระทั่งนัดชิงชนะเลิศอะไรอย่างเนี๊ย แต่ถ้าพูดถึง ถ้าดูวิธีการเล่นนะ เอามาเทียบกับรุ่นนี้ ก็ยังห่างอยู่ ก็จะมีชุดปีที่แล้วอ่ะ ชุดที่ได้รองแชมป์ลีก อันนั้นก็เริ่มจะใกล้เคียงนิดนึง เพียงแต่ว่ายังไม่ใกล้เคียงมาก แต่ก็เริ่มเห็นแวว โค้ชแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันนะ อย่างอีแวนนี่ก็เป็นโค้ชที่ดี ทำทีมได้ดีมาก เพราะว่าเค้าเป็นเด็กห้องเก็บร้องเท้ามาก่อน เป็นเด็กบู้ตรูม เค้าก็ยังจะใช้ปรัชญาเดิม เพียงแต่ว่ามันก็ขาด เค้าเรียกว่า ขากสัญชาตญาณของความโหด ลิวอร์พูลเล่นสวย แต่ไม่โหด ไม่ดุดัน นัดที่จะต้องชนะ ก็ไม่ชนะ แต่เล่นดี เล่นดีกว่าแมนฯยูฯ อีก แต่ก็ไม่ได้แชมป์ เล่นสวย พวกแม็กมานามาน พวกเร้ดแน็ปป์ นี่ ก็ทำให้เกิดแฟนลิเวอร์พูลขึ้นมาอีกกลุ่มหนึ่ง คนเริ่มมาเชียร์ลิเวอร์พุลเยอะก็เพราะพวกนี้เหมือนกัน คือ ถ้าดูแล้ว ก็ยังเทียบของเก่าไม่ได้ พูดตรงๆ อ่ะนะ

LTF: แล้วพี่คิดว่าลิเวอร์พูลยุคปัจจุบันนี้ ใกล้เคียงกับแชมป์พรีเมียร์ลีกรึยัง?
JACKIE: อืมมม มันก็ใกล้เคียงแล้วล่ะ แต่ถ้าพูดถึงวิธีการเล่น มันยังไม่ใกล้เคียงกับยุคที่เก่ง แต่ถ้าพูดถึงโอกาสในการคว้าแชมป์มันก็ใกล้แล้วล่ะ ใกล้เข้ามา มันก็อยู่ไม่ไกลละ แทบจะเรียกว่าเดินเฉียดถ้วยแล้วอะไรอย่างนี้ เพราะสถิติต่างๆ มันก็บอกเราอยู่อย่างชัดเจนแล้ว

LTF: ในยุคของอุลลิเย่ร์เราก็เฉียดเนอะ มีอยู่ครั้งนึงที่ได้รองแชมป์เหมือนกัน
JACKIE: แต่เป็นการได้ที่สองแบบไม่เหมือนการได้ที่สองแบบปีที่ผ่านมานะสิ การได้ที่สองของเบนิเตซเนี่ยถือว่า มันเป็นการได้ที่สองแบบน่าจะได้แชมป์ด้วย ทุกคนก็พูดแบบนี้อ่ะ แต่ว่าคะแนนเราได้น้อยกว่า มันก็แน่นอนอ่ะ ถ้าพูดถึงตรงนั้น

LTF: ไม่น่าเชื่อนะ ว่าจะได้ถึง 86 แต้ม แพ้แค่ 2 ครั้ง
JACKIE: มันเป็นอะไรที่ใกล้กว่าอุลลิเย่ร์นะ คือ ทีมของอุลลิเย่ร์เนี่ย เค้าจะเล่นบอลแบบมีโอเว่นเป็นตัวนำ จะเล่นบอลโต้กลับ เค้าจะไม่บุกอ่ะ ถ้าอยากเป็นแชมปฺมันต้องเล่นเกมบุก แต่เบนิเตซเค้าก็บุกมากขึ้น เริ่มสร้างทีมได้บุกมากขึ้น มาปีแรกๆ เค้ายังเล่นแบบรับอยู่ ก็เริ่มยิงมากขึ้น

LTF: มันเหมือนกับเค้ามีประสบการณ์กับบอลอังกฤษมากขึ้นรึเปล่า?
JACKIE: ด้วย แล้วก็ด้วยอะไรหลายๆอย่าง


LTF: แล้วอย่างนี้พี่ชอบการทำทีมของเบนิเตซมั๊ยครับ?
JACKIE: ก็โอเคนะ ก็ต้องถือว่าเค้าทำทีมได้ตามแนวทางของเค้า แต่ต้องให้เวลาเค้านิดนึง

LTF: 5 ปีแล้วนะพี่
JACKIE: ใช่ ปีนี้ปีที่ 5 ก็เหมือนเฟอร์กี้ ตอนปีที่ 4 เค้าเกือบทำทีมได้แชมป์ มีเกือบโดนไล่ออก ตอนปี 90 แต่เค้าพาทีมได้แชมป์เอฟเอ คัพ เลยรอดตัว หลังจากนั้นอีกปีนึง ก็ลุ้นกับลีดส์ ไม่ได้ คือ ลุ้นกับลีดส์นี่ ลีดส์ก็ไม่น่าจะได้แชมป์นะ พูดตรงๆ เพราะแมนฯยูฯ เล่นดีกว่า แต่ลีดส์ได้คะแนนมากกว่า คือ กำลังจะพูดว่า เหมือนปีที่ผ่านมาอ่ะ 555 ซึ่งตอนนั้นแฟนแมนฯยูฯ ก็รอแบบเนี๊ย แต่เค้าจะแย่กว่าลิเวอร์พุลคือ ตอนนั้น เค้าจะหลุดจากท็อปโฟร์ไง เค้าอิเหละเขละขละไปกลางตารางบ้าง ไปอะไรบ้าง



LTF: พูดถึงทีมงานแมวมอง พี่ว่าทีมงานแมวมองของทีมไหนดีที่สุด?
JACKIE: ถ้าพูดถึงเครือข่ายแมวมอง ต้องยอมรับว่าชุดของเวงเกอร์ทำงานดีที่สุด เพราะว่าเด็กของเวงเกอร์แต่ละคนได้รับการยอมรับว่า สร้างชื่อเสียงมาก

LTF: เห็นเค้าจับแต่งใครก็ดีไปซะหมด
JACKIE: นั่นเป็นเพราะว่าเค้ามีสไตล์ของเค้า เค้ามีบล็อคว่าฟุตบอลต้องเล่นแบบนี้ เพราะฉะนั้นในเมื่อฟุตบอลเค้าเล่นแบบนี้เนี่ย เค้าก็ไปหานักเตะมาเข้าบล็อก ใครที่ไม่เข้าบล็อกเค้าก็ไม่เอา

LTF: ถึงว่า เค้าจับใครมาก็เล่นได้หมด
JACKIE: ใช่ ส่วนใหญ่เนี่ย 100 คน น่าจะ 95 คน 5 คนไม่ได้เรื่องนี้ แสดงว่ามันเยอะมาก

LTF: แล้วถ้าเทียบกับนักเตะเด็กๆ ที่ราฟาดึงเข้ามาล่ะครับ?
JACKIE: กำลังจะบอกว่ามันก็เหมือนกับ เบนิเตซอาจจะยังไม่เหมือนเวงเกอร์ตรงที่ เค้ายังไม่มีบล็อกเหมือนกับเวงเกอร์ว่าจะเล่นแบบไหนกันไหนแน่ เพราะเวงเกอร์เค้ามาเล่นครั้งแรก เค้าก็โชว์เลยว่าเค้าจะเล่นบอลพาสซิ่ง แล้วบุก หรือถ้าไม่บุก เค้าก็โต้ได้ เค้ามีสองสไตล์ เค้าเล่นได้หมด เค้ามีแนวทางชัดเจน แล้วเวงเกอร์เค้ามาทีมทีมได้สองปีครึ่ง เค้าก็ได้แชมป์เลย

LTF: เวงเกอร์สองปีครึ่งใช่มั๊ยครับ งั้นราฟาก็ต้องเก่งกว่าสิ ราฟามาปีเดียวก็ได้แชมป์เลย อิอิ
JACKIE: แหม บอลทัวร์นาเม้นท์ มันไม่เหมือนบอลลีกนะ บอลยุโรปมันก็เหมือนบอลโลกอ่ะ มันเป็นทัวร์นาเม้น มันอาศัยจังหวะ คือ จังหวะนัดชิงมันต้องพลิ๊กจริงๆ ต้องมีความอัศจรรย์อย่างที่ลิเวอร์พูลทำได้ มันต้องพิเศษจริงๆ เลียนแบบกันไม่ได้

LTF: พี่แจ๊คกี้มีแมตช์แห่งความทรงจำมั๊ย?
JACKIE: แน่นอนเลยครับ แมตช์แห่งความทรงจำต้องปี 2005 เลย คงไม่สามารถหาแมตช์ไหนมาเทียบกับแมตช์นี้ได้แล้วอ่ะ แบบ โอ้โห มันไม่น่าเชื่อนะ

LTF: พี่แจ๊คกี้อยู่ในสนามด้วยใช่มั๊ยพี่?
JACKIE: ใช่

LTF: ถามความรู้สึกคนที่อยู่ตรงนั้นหน่อย ครึ่งแรกบรรยากาศในสนามเป็นยังไง?
JACKIE: รู้สึกว่าแพ้แน่ ครึ่งหลังจะโดนอีกกี่ลูกนะ แต่ในสนามไม่เงียบนะ รู้สึกแปลกใจ แฟนลิเวอรพูลร้องเพลงกระหึ่มเลย ร้องแบบไม่เกรงใจกองเชียร์มิลานเลย แฟนมิลานคงงง เฮ้ย มันนำอยู่รึเปล่า? แล้วในสนามก็มีแต่แฟนลิเวอร์พูล 80 เปอร์เซ็นต์ได้ เหมือนเป็นบ้านของลิเวอร์พูลเลย เหมือนวันนั้นแฟนบอลมิลานไม่มาด้วยแหละ มันมั่นใจว่าได้แชมป์แน่

LTF: กะว่าจะรอฉลองทีเดียวเลย
JACKIE: พวกอิตาลีเค้าเป็นคนแบบ ไม่ค่อยวางแผนเท่าไหร่ ไม่เหมือนคนอังกฤษ พวกนี้จะวางแผนล่วงหน้า จะมาทางไหน มาเรือเค้าก็จะมา ยากลำบากแค่ไหนก็จะมา ซึ่งตรงนี้ ทำให้เค้าได้รับคำชมมากนะ ซึ่งทำให้ในวันนั้นแฟนลิเวอร์พูลเยอะมาก ในเมือิงก็มี โห หลายหมื่น มาเหมือนมายึดบ้านเค้าเลย มายึดประเทศเค้าเลย สีแดงของลิเวอร์พูลเต็มไปหมด

LTF: ตอนที่ผมดูอยู่ ดูกับพี่ชาย ครึ่งแรกนี่ปิดไฟแล้วนะ
JACKIE: ก็มีคนมาพูดแบบนี้เยอะนะ ไอ้เราก็เลยบอกว่า ก็ไม่รู้จะบอกเค้าไงดีเลยบอกว่า ถ้าคุณเป็นแฟนลิเวอร์พูล มันก็เป็นการพลาดครั้งสำคัญในรอบร้อยปีเลยก็ว่าได้นะ แล้วสุดท้ายคุณก็ต้องย้อนกลับมาถามตัวเองว่า แล้วตกลงเราเป็นแฟนของทีมจริงๆ รึเปล่า มันเลยมีคำพูดที่ว่า ถ้าคุณรัก แล้วก็เชียร์ทีมจริงๆ ต่อให้ทีมแพ้เละเทะขนาดไหน คุณก้ต้องยอมรับหรือทนที่จะดูต่อไปจนจบ

LTF: แต่ก็คุยกัน เฮ้ยจะเอาไงดีวะ จะดูต่อดีมั๊ย สุดท้ายก็เปิดไฟ ดูต่อ
JACKIE: ใช่ ต้องดู คือถ้าไม่ดูแล้วมาบอกตอนหลังว่า โห เสียดายไม่ได้ดู คือ พูดคำนี้ไม่ได้แล้ว มันสายไปแล้วไง คุณไม่สามารถจะเรียกสิ่งเหล่านั้นกลับมา

LTF: งั้นเรามาวัดกันนาทีต่อนาทีดีกว่าพี่ ตอนเจอร์ราร์ดโหม่งตามเป้น 3-1 พี่รู้สึกยังไง?
JACKIE: ก็ดีใจ แต่ยังเฉยๆ อยู่ มันมาใช่อีตอนประตูที่สอง คือได้เร็ว พวกฝรั่งที่อยู่ข้างๆ มาจากไอแลนด์ด้วยก็บอกว่า เฮ้ย มาแล้วๆ ถ้าอย่างนี้ชัวร์ละ 3-2 แบบนี้ มาแน่ๆ

LTF: แล้วพอตอนกรรมการเป่าเป็นจุดโทษ ปรี๊ดดดดดดดด
JACKIE: กระโดดกอดกันกลมเลย เก้าอี้แทบพังอ่ะ พวกก็เต้นกัน โห สุดๆ

LTF: แต่หลังจากดีใจไม่เท่าไหร่ อลอนโซ่ยิงไปติดมือดีด้า
JACKIE: ตอนนั้นคิดว่าเข้าแล้ว ไม่ได้คิดอะไร อลอนโซ่ยิงไป เอ้า เข้า เอ้ย เข้าไปแล้ว เฮ้ 3-3 แล้วหลังจากนั้นก็มานั่งเสียวต่อ เพราะมิลานนี่ บุกชิบเป้งเลย แต่ละลูก รอดมาได้ยังไงวะ แล้วพอมาถึงจุดโทษนี่ มั่นใจละว่ายังไงก็ต้องมา ความโชคดีของพี่เนี่ยคือว่า พี่นั่งอยู่ตรงไลด์ประตู ที่ยิง 6 ลูกเลย แล้วลูกโทษก็มายิงตรงนั้นอีก โอ้โห ได้ดูเต็มๆ เลย จ่อๆ ฮึ้ย โชคดีมากเลยอ่ะ เป็นอะไรที่แบบ คงไม่มีแมตช์ไหนเทียบได้อีกแล้ว



LTF: พูดถึงอลอนโซ่ กับ มาสเคราโน่หน่อยพี่ ถ้าขาดสองตัวนี้ไปจะเป็นยังไง?
JACKIE: กระทบแน่ครับ กระทบแน่ จะเอาใครไปเล่น ลูคัสเหรอ? 555+ แต่จริงๆ เราเป็นแฟนรุ่นเก่า เราก็ยังจะยึดอยู่กับภาพเดิมๆ แล้วก็ เราก็มองว่า ทีมแมนฯยูฯ หรือ อาร์เซน่อล เนี่ย มันก็ใกล้เคียงกับที่ลิเวอร์พูลเคยเป็น คือ มันก็จะมีบล็อกของความสำเร็จอยู่ อย่างลิเวอร์พูลเนี่ย เมื่อก่อนก็จะมีคู่เซ็นเตอร์ที่เก่ง กองกลางที่แบบ อย่างกองกลางตัวรับมันก็มีมาตลอด เด่นๆ ก็อย่าง เอริค ไมเยอร์ เจมมี่ เคส แล้วก้มา แกรม ซูเนส หายไปนิดนึงก็เป็น สตีฟ แม็คมาน ซึ่งเป็นส่วนในการขับเคลื่อน แล้วก็จะมีกองกลางที่เป็นตัวเชื่อมเกม แล้วก็ผู้เล่นริมเส้น ซึ่งบอลอังกฤษโบราณก็จะมีปีกเร็วๆ ปีกคล่องๆ แต่ลิเวอร์พูลเนี่ยจะเป็นบอลที่ไม่เหมือนแมนฯยูฯ ตรงที่มันไม่ได้เน้นปีก ซึ่งเมื่อก่อนจะเน้นทุกคนเป็นตัวขับเคลื่อน บอลจะเคลื่อนที่ตลอด เมื่อก่อนผู้เล่นลิเวอร์พูลให้บอลกันแม่น วิ่งตามช่องอะไรต่างๆ แม่น จะไม่ได้มีปีกที่มีลีลามาก กลางก็แบบตัวทำลายเกม ซึ่ง

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์