ตอร์เรสเปิดใจแบบเต็มอิ่มกับเดอะ แชมเปี้ยนส์.

เฟอร์นันโด ตอร์เรส ให้สัมภาษณ์กับ กิลเล็ม บาลากู คอลัมนิสต์ของนิตยสารแชมเปี้ยนส์, นิตยสารอย่างเป็นทางการของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, ซึ่งเขาได้เปิดเผยถึงเรื่องราวต่างๆที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน...

อะไรคือสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากโค้ชคนแรก?

ตั้งแต่ห้าขวบผมมีโค้ชมาหลายคน, แต่โค้ชมืออาชีพคนแรกของผมคือ มาโนโล แรนเกล เมื่อผมเริ่มต้นกับแอตเลติโกตอนสิบขวบ. เขาเป็นคนแรกที่บอกว่าผมจะได้ไปเล่นในลีกระดับสูง, แต่ก็เตือนว่าผมควรจะมองหาความสุขให้ตัวเองด้วย. เขาเคยให้เราเลือกวิธีฝึกซ้อมกันเอง, วันละคน. เขาจะถามหนึ่งในพวกเด็กๆว่า 'วันนี้อยากให้พวกเราทำอะไร?' มันนานจนผมลืมรายละเอียดไปหมดแล้ว, แต่ผมไม่เคยลืมที่เขาสอนถึงความสำคัญของการทำให้ตัวเองสนุก, ให้เหมือนกับมันไม่ใช่งาน. ผมเรียนรู้จากเขาว่าต้องปรับปรุงตัวเองในการฝึกซ้อมทุกๆวัน, แต่เหนืออื่นใด, ฟุตบอลคือเกมแห่งความสนุกสนาน.

แล้วชายแก่บนท้องถนนคนนั้นล่ะ?

ผมจำบางอย่างได้ในวันที่ผมจะย้ายมาลิเวอร์พูล. ที่สนามบินเมืองมาดริดมีผู้คนและกล้องทีวีเต็มไปหมด มันเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก และพ่อแม่ของผมก็ไม่พอใจที่เห็นผมจะทิ้งพวกท่านไป. มีชายแก่คนหนึ่ง, ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร, แต่เขาดูโกรธจัด และเดินเข้ามาหาผมอย่างหัวเสียแล้วพูดว่า 'มันน่าละอายที่นายต้องทิ้งแอตเลติโกไป แต่ชั้นเข้าใจว่านายจำเป็นต้องไปเพื่อจะได้รับรู้ถึงขีดความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง และเป็นในทุกๆสิ่งที่นายจะเป็นได้ เพื่อแสดงให้ทั้งโลกเห็นในสิ่งที่เราทุกคนรู้ดี - ว่านายมีดีแค่ไหน' เมื่อคุณเล่นให้ทีมๆหนึ่ง, ช่วงเวลาแบบนี้มันทำให้คุณตระหนักได้ว่า มีผู้คนมากมายที่รักและแคร์คุณในฐานะคนๆหนึ่งมากกว่าในฐานะนักฟุตบอล. ผมเก็บคำพูดของเขาเอาไว้ในใจ แน่นอนหลายคนพูดแบบนั้นกับผมมาก่อนแล้ว, แต่นี่มันต่างออกไป. นี่คือชายแก่อายุ 60 ที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน, ซึ่งเป็นแฟนบอลของแอตเลติโกมาทั้งชีวิต เขารักทีมของเขา - แต่วินาทีนั้นเขาเป็นห่วงผมมากกว่าอะไรทั้งสิ้น. สิ่งที่ทำให้มันยิ่งกว่าพิเศษคือผมรู้ดีว่าเรื่องแบบนี้มันค่อยๆหายไปจากเกมฟุตบอลทีละเล็กละน้อย. แต่ผมจะเก็บถ้อยคำเหล่านั้นเอาไว้อีกนานแสนนาน มันเป็นแรงผลักดันให้ผมอย่างแท้จริง.

พ่อของคุณเคยสอนอะไรคุณเอาไว้บ้าง?

มากมายเลยล่ะ. มนุษย์ทุกคนคือเงาสะท้อนของพ่อแม่ ผมไม่เคยพยายามทำตัวโดดเด่น, และจะขี้อายเวลาที่ตกเป็นจุดสนใจ. แต่เมื่อไหร่ที่ผมอยู่เบื้องหน้า, ผมรู้ว่าพ่อจะอยู่เบื้องหลังคอยเฝ้าดูผมเสมอ. ผมจำได้ตอนที่เล่นให้กับแอตเลติโกเมื่ออายุ 11 หรือ 12 ที่เลกาเนส, และโค้ชตัดสินใจเปลี่ยนผมออก. มีแฟนบอลคนหนึ่งด่าผมหยาบๆคายๆ และตั้งชื่อให้ผมสารพัด. ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา, และพ่อของผมก็อยู่ทางด้านขวามือของชายคนนั้น, แต่พ่อไม่ได้พูดอะไร เขาสงบนิ่งราวกับรูปปั้น. พ่อไม่ได้มองแฟนบอลคนนั้นด้วยซ้ำ, ปล่อยให้เขาพูดอยู่ข้างเดียว และไม่ได้ลงมือลงไม้เหมือนที่พ่อของบางคนอาจจะทำ. เขาแค่ยืนตรงนั้น.

ผมจะไม่มีวันลืมเรื่องนั้น. พ่อยืนมองเรื่องที่เกิดขึ้นและยอมรับในสิ่งที่มันเป็น. และนั่นคือสิ่งที่พ่อเป็นมาเสมอ - อยู่ตรงนั้น, ให้กำลังใจผมโดยไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัว และวางตัวเป็นสุภาพบุรุษมากๆ. หลายคนแปลกใจกับปฎิกริยาของพ่อ, แต่นั่นมันมาจากบุคลิกของเขา, อย่างที่เขาเป็นมาเสมอยามอยู่เบื้องหลัง เขายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างที่มันเป็น. ตอนนั้นผมได้เรียนรู้จากเขา, ว่านี่คือสิ่งที่ผมต้องอยู่กับมันตลอดชีวิตนักฟุตบอล ทั้งคำดูถูก, คำวิจารณ์จากคนที่ไม่รู้จัก. ผมต้องเจอเรื่องเหล่านี้ในสนามที่เต็มไปด้วยผู้คน, แต่ผมรู้ว่าพ่ออยู่บนแสตนด์และคอยเฝ้ามองผมอยู่. ดังนั้นผมจึงเรียนรู้ที่จะพอใจกับการอยู่เบื้องหลัง และปล่อยให้ผู้คนรอบข้างกลายเป็นจุดเด่น, ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมอึดอัดอยู่เสมอแทน. ต้องขอบคุณพ่อที่ทำให้ผมไม่เคยลืมความสำคัญของ 'คนอื่นๆ'. แน่นอนมีหลายครั้งที่ผมหลีกเลี่ยงคำยกย่องสรรเสริญ, หรือการตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งไม่ได้, แต่ผมชอบให้คนใกล้ตัวได้รับความสนใจอยู่เสมอ.

แล้วแม่ล่ะ?

ผมเรียนรู้การเสียสละตัวเองจากแม่. แม่ช่วยเติมเต็มความทะเยอทะยานของผมอย่างมาก. เธอไม่ได้ไปทำงานเพราะต้องคอยยุ่งกับการพาผมไปฝึกซ้อมและรอรับกลับ ทุกๆวันแม่พาผมจากบ้านที่ฟลูเอนราบราดาไปยังมาดริด, ซึ่งหมายถึงต้องนั่งรถไฟ, ต่อด้วยรถบัส แล้วเดินตัดผ่านสวนสาธารณะ. แม่ต้องไปส่งผมตั้งแต่แปดโมงเช้าและมารับกลับตอนหกโมงเย็นเพื่อความสุขของลูกชาย. บางครั้งผมคิดถึงเพื่อนร่วมทีมเก่าๆที่ไม่ประสบความสำเร็จ, และพวกเขามีแม่ที่ทำแบบเดียวกับแม่ผม.

ทั้งพ่อและแม่ให้ความสำคัญอย่างมากกับการดูแลลูกชายมากกว่าตัวเอง. มันเป็นคุณสมบัติที่พวกท่านมอบให้ผม - ผมจะมีความสุขกว่าเมื่อได้เห็นผู้คนรอบข้างมีความสุขมากกว่าตัวเอง. ทุกอย่างที่ผมเป็นในวันนี้ต้องขอบคุณความพากเพียรของแม่ และทุกอย่างที่เธอมอบให้ผม.

แล้ว โอลัลลา แฟนคุณล่ะ?

ผมเรียนรู้เรื่องความผูกพันจากเธอ. คุณจะรู้ว่ามันเป็นยังไงเมื่อคุณพบบางคนที่คุณอยากใช้ชีวิตร่วมกับเขา คุณมีหลายอย่างร่วมกันและได้เรียนรู้จากอีกฝ่าย, แต่เหนืออื่นใด, มันให้ในบางอย่างที่ตัวคุณเองไม่มี. เธอทำให้ผมใจเย็นในเวลาที่ผมใจร้อน, เมื่อทุกอย่างไปได้ไม่ดีนักหรือเมื่อเราแพ้ในเกมการแข่ง. เธอเคยทนกับเสียงบ่นและเสียงคร่ำครวญถึงความผิดหวังมามาก, โดยเฉพาะตอนที่ผมอยู่กับแอตเลติโก. ตอนนี้เธอได้พบกับความสุขบ้างแล้ว. โอลัลลารู้วิธีทำให้ผมใจเย็นเสมอตอนที่ผมมองหาทางออกไม่เจอ, หรือคอยปลุกผมเวลาที่ผมหลับใหล. เธอคอยผลักดันผมเวลาที่ผมต้องการกำลังใจ. บางครั้งคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับคุณอาจจะเป็นคนเดียวที่ช่วยประคองคุณขึ้นได้ ในเวลาที่คุณไม่รู้ว่าตัวเองตกต่ำแค่ไหน.
เล่าเรื่องสุนัขของคุณบ้าง?

ทั้งชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องจริงจัง ไม่ใช่มีแต่เรื่องสิ่งที่คุณมีหรือความสำเร็จที่คุณได้รับ. ชีวิตมันเกี่ยวกับเรื่องเล็กๆน้อยๆด้วย อย่างการเล่นกับหมาในสวนซักห้านาที. มันช่วยให้ผมลืมเรื่องราวต่างๆได้. บางครั้งการที่ผมเล่นกับหมาซักสิบนาที อาจจะมีความหมายกับผมมากกว่าการได้ลงเล่นในเกมใหญ่ๆซะอีก.

คุณได้เรียนรู้อะไรจากการได้ลงเล่นเคียงข้างกับ เจอร์ราร์ด บ้าง?

ผมชื่นชมเขามาก เพราะรู้ถึงแรงกดดันที่เขาได้รับในทุกๆวัน, ทุกคนพูดถึงเขาทั้งวันทั้งคืน - ทั้งในห้องแต่งตัว, ในผับ หรือในสนาม. หลายคนบอกว่าเขาควรจะแข็งแกร่ง, มีบุคลิกที่เข้มแข็ง. ผมรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่าเรื่องแบบนี้มันรับมือได้ยากแค่ไหน, และแน่นอนว่าเขาอยู่สูงขึ้นไปอีกขั้น - เพราะลิเวอร์พูลคือทีมใหญ่. ผมเคยเป็นกัปตันทีมตอนที่ยังเด็ก และรู้ว่าทุกคนเคยพูดถึงผม. ผมรู้สึกได้, ผมมองเห็นโดยไม่ต้องมอง ยิ่งเวลาที่ทุกอย่างไม่เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง. ผู้คนจะมองมาที่คุณตั้งแต่ไกล และตั้งคำถามกับคุณด้วยสายตาของพวกเขา. ทุกอย่างที่ว่ามาเกิดขึ้นกับเจอร์ราร์ดทุกวัน และเขาก็รับมือกับมันได้, ทุกอย่างถูกตั้งความหวังไว้ที่เขาตลอดเวลา. เขาถูกกดดันอย่างหนักให้ต้องโชว์ฟอร์มดีๆ, และแสดงความเป็นผู้นำออกมาเพื่ออุ้มชูทีม. เขาเป็นตัวอย่างที่ดีของทุกคน และใครที่เคยมีประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้ก็รู้ดีว่ามันรับมือได้ยากแค่ไหน. วิธีที่เขาใช้ดูแลตัวเองจากเรื่องราวรอบตัวมันเหลือเชื่อมากๆ. ผมอยากเป็นกัปตันทีมซักวันหนึ่ง, และเขาก็แสดงให้ผมเห็นแล้วว่าการเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่มันเป็นยังไง.
พูดถึงกรรมการหน่อย?

อืม ก่อนอื่นต้องบอกว่าพวกเขาไม่ใช่ศัตรู! เราแค่พยายามทำงานของเรา, ทั้งกรรมการและนักเตะ. ผมเคยคุยกับกรรมการที่สเปนเรื่องฟุตบอลและเรื่องอื่นๆราวชั่วโมงครึ่ง, และรู้มั้ย? เราไม่ควรตำหนิคำตัดสินของพวกเขาเลย, ทั้งการใส่อารมณ์และประท้วงจนเกินไป เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาก็พยายามทำดีที่สุดแล้ว. เราทุกคนอยู่ในวงการเดียวกัน. มีกรรมการคนหนึ่งที่ลงตัดสินในเกมของเรา - ผมจำไม่ค่อยได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น, แต่ผมรู้ว่าผมด่าเขาด้วยคำหยาบ - และเขาเดินเข้ามาพูดกับผมว่า 'ตอนนี้นายรู้แล้วสิว่าฉันรู้สึกยังไงทุกๆสัปดาห์' ก่อนหน้านั้นผมไม่คิดอะไรมาก, ผมเคยเดินเข้าไปด่าพวกเขาด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ผมพยายามจะช่วยพวกเขาเท่าที่จะทำได้. เราต้องรู้ว่าทุกคนต่างก็พยายามปกป้องมุมของตัวเอง.

ราฟา สอนอะไรคุณบ้าง?

เขาสอนให้ผมเรียกร้องอะไรจากตัวเองให้มากทุกวัน, อย่าเฉื่อยชา. เมื่อคุณอยู่ในทีมที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดี, นักเตะก็มักจะตายใจ. แต่คุณต้องกระตุ้นตัวเองเสมอเพื่อไม่ให้นิ่งนอนใจ พยายามทำให้ดีที่สุดทุกวัน. ในทีมอย่างลิเวอร์พูลคุณไม่สามารถหยุดนิ่งหลังจากยิงได้ 20 ประตู และพูดว่า 'อืม พอแล้ว' เพราะราฟาจะคอยจี้คุณในการฝึกซ้อมครั้งต่อไปและเคี่ยวเข็ญคุณทุกวันตลอดสัปดาห์. เขาจะบอกคุณให้พึ่งตัวเองและฝึกซ้อมอะไรใหม่ๆ มีบางวันที่ผมคิดว่า 'พระเจ้า, เขาไม่ให้เราพักหายใจเลย!' ตอนนั้นคุณไม่รู้หรอกว่าที่เขาต้องการทั้งหมดคือให้คุณพัฒนาขึ้น. ผมอยากก้าวหน้าในชีวิต, ไม่อยากเฉื่อยชา, ไม่อยากนิ่งนอนใจ และผมต้องการให้ใครซักคนอยู่ใกล้ๆและคอยบอกให้ผมพยายาม. มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำได้ด้วยตัวเอง. เราไม่ชอบให้ใครคอยจ้ำจี้จ้ำไชหรอก, แต่ในระยะยาวผมแน่ใจว่าทุกคนจะขอบคุณเขา.
แฟนๆที่ แอตเลติโก ให้อะไรกับคุณบ้าง?

ผมเป็นแฟนของแอตเลติโก, และอยากจะมีโอกาสกลับไปที่นั่น. บางทีผมอาจจะได้ลงเล่นกับพวกเขาในแชมเปี้ยนส์ลีก! ผมชอบคิดว่าจะได้รับการต้อนรับที่ดีจากพวกเขา. เมื่อไหร่ที่ผมเดินชนกับแฟนๆของแอตเลติโกบนท้องถนน, ผมยังถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา, เป็นพวกเดียวกัน, ซึ่งนั่นมันวิเศษมาก. มันคงทำใจได้ยากถ้ากลับไปที่นั่นแล้วไม่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น. มันคงยากที่จะรับได้ ผมหวังว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น.

แล้ว เดอะ ค็อป ล่ะ?

คุณนึกภาพกองเชียร์ที่ดีกว่านี้ไม่ออกหรอก. พวกเขาอยู่กับทีมตลอดเวลา, เชียร์เราไม่ว่าจะดีหรือร้าย. ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเขาจะอยู่กับผมและทีมเสมอ - เมื่อคุณสวมเสื้อสีแดงของลิเวอร์พูล, พวกเขาจะสนับสนุนคุณเต็มที่จนวันตาย. ถ้าคุณทำพลาดพวกเขาจะไม่ตำหนิคุณ - เพราะคุณใส่เสื้อของลิเวอร์พูลอยู่, และพวกเขาเชียร์ที่เสื้อมากกว่าชื่อของนักเตะ. เดอะ ค็อป มีความสุขกับผู้เล่นที่พวกเขามีตลอดเวลา, และพวกเขาก็ให้เกียรติกับอดีตผู้เล่นที่กลับมาพร้อมกับทีมอื่น, แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสำนึกบุญคุณนักเตะเหล่านั้น. เมื่อทุกอย่างไปได้ดี, พวกเขาก็รักนักเตะของพวกเขา และเมื่อทุกอย่างมันเลวร้าย, พวกเขาก็ยังภูมิใจในทีม. ในฐานะผู้เล่น, เรารู้สึกเสมอว่ามีพวกเขาอยู่เบื้องหลัง และสนับสนุนเรา 100% เต็ม - และเราก็สำนึกบุญคุณมาก. นั่นคือข้อแตกต่างอย่างมากระหว่างที่นี่กับที่สเปน.

แล้วหนังสือที่คุณอ่านกับภาพยนตร์ที่คุณดูล่ะ? คุณได้อะไรจากมันบ้าง?

หนังสือให้อะไรกับผมหลายอย่าง, แต่ที่เด่นชัดที่สุดคือ, มิตรภาพเป็นสิ่งที่มีความหมายมากๆ. ความสัมพันธ์คือทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณมี, แม้ตอนที่มันไม่เหลือแล้ว, และผมได้เรียนรู้ว่าเพื่อนของคุณจะเป็นเพื่อนคุณไปตลอดชีวิต. นอกจากนั้นก็เพราะหนังสือถูกเขียนขึ้นและเปิดเผยจากประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละคน, มันสอนให้ผมรู้ว่าลึกๆแล้วคนเราก็เหมือนกันหมด เราต่างก็มีความหวังอย่างเดียวกัน, มีความต้องการเหมือนกัน และมีความกลัวเหมือนกัน, ซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานในเรื่องของความปลอดภัย, ทั้งในส่วนของครอบครัวและความสัมพันธ์. ผมยังได้เรียนรู้อีกว่าความอิจฉาอาจเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากๆ, เป็นคุณสมบัติที่ไม่ดีของผู้คน. อย่างไรก็ตาม, มันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องเจอที่นี่. ผู้คนที่ผมพบไม่ใช่คนแบบนั้น, ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน จะลิเวอร์พูลหรือแมนเชสเตอร์, ผู้คนต่างก็ใจดีและให้ความเคารพกับผม. ที่สำคัญที่สุดคือผมได้เรียนรู้ที่จะมีความสุขกับสิ่งที่ผมมีอยู่.

แล้วกับนักข่าวที่เขียนถึงคุณล่ะ?

ผมได้เรียนรู้จากพวกเขาหลายคนเลยล่ะ! สุดท้ายพวกเราที่เป็นนักฟุตบอลต่างก็เห็นแก่ตัว, และพวกเราส่วนใหญ่ก็มักจะพูดว่านักข่าวที่ดีคือนักข่าวที่เขียนชมเรา, และคนที่เลวคือคนที่ใส่ร้ายป้ายสีเรา. ผมรู้ว่ามีบางคนที่ด่าผมในทางที่ไม่สร้างสรรค์, แต่ทำให้ผมเสียหาย และคอยขัดขาผม. ผมจะไม่เอ่ยชื่อและพวกเขาก็ไม่มีค่าให้ผมต้องนึกถึงด้วย - แต่ผมอยากทำให้พวกเขารู้ว่าตัวเองคิดผิดมั้ย? ไม่ว่าผมจะทำอะไร, ผมทำเพื่อตัวเอง, แต่ใช่, บางครั้งผมทำเพื่อให้พวกเขารู้ว่าตัวเองคิดผิดด้วย. บางครั้งคำวิจารณ์ของพวกเขาอาจจะถูกในตอนนั้น, แต่ตอนนี้, เมื่อไหร่ที่ผมก้าวลงไปในสนาม, ผมจะทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะพูดแบบนั้นไม่ได้อีก.

สุดท้าย, คุณเคยเดินทางหรือไปเยี่ยมที่ไหนแล้วมีความรู้สึกว่าสงสารบ้างมั้ย?

ผมเคยไปที่ๆยากจนจริงๆอย่างโพลีนีเซีย, โบรา โบรา, นาทาล, อะเมซอนในบราซิล, บางแห่งในเม็กซิโก ที่ๆผู้คนต่างก็เห็นแก่ตัวและไม่มีอนาคตอะไรรอพวกเขาอยู่. และสิ่งที่ติดอยู่ในใจผมมากที่สุดคือ ที่นั่นคนที่มีน้อยที่สุดกลับเป็นคนที่เต็มใจให้มากที่สุดอยู่เสมอ.

ในที่แบบนี้, ที่ๆมีแต่ความแร้นแค้นและความอิจฉาที่ครอบงำโลกของเราอยู่, ผู้คนกลับใจกว้างและพร้อมจะแบ่งปันทุกๆอย่าง. มันเหลือเชื่อมาก. แล้วรู้มั้ย, มันทำให้บางครั้งนักเตะอย่างเราๆรู้ว่าเราใช้ชีวิตอยู่ในภาพลวงตา. บางครั้งผมชอบที่จะมีชีวิตอยู่ห่างๆจากบางสิ่งที่รายล้อมผมอยู่ อย่างเงินที่มากเกินไป, หรือความอิจฉา. ผมจะไปยังสถานที่เหล่านั้น และมันทำให้ผมอยากแบ่งปันทุกๆอย่างกับทุกๆคน. จากนั้นผมจะกลับมายุโรปและ, อืม, ที่นี่มันต่างออกไป, ใช่มั้ย?

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์