มารู้จักตำนาน อีกคนนึงของหงส์กัน

สถิติการลงเล่นในระดับสโมสร

ประวัติการเล่นฟุตบอล

ลิเวอร์พูล

แม็คมานามานก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1990 (หลังจากที่เค้าอายุครบ 17 ปีได้ 8 วันเท่านั้น) ในยุคของเคนนี ดัลกลิชที่ต้องการใช้นักเตะเยาวชนของอคาเดมีเพื่อให้ขึ้นมาทดแทนนักเตะรุ่นพี่ (แม็คมานามานเป็นแฟนทีมเอฟเวอร์ตันตั้งแต่เด็ก และเคยไปทดสอบฝีเท้ากับเอฟเวอร์ตันแต่ปรากฎว่าไม่ผ่านการทดสอบเนื่องจากถูกมองว่าร่างกายผอมเกินไป) ชีวิตของแม็คมานามานในแอนฟิลด์ดูเหมือนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบเมื่อเค้าคว้าได้ทั้งแชมป์เอฟเอ คัพปี 1992 ในยุคของแกรม ซูแนสส์ และแชมป์ลีก คัพปี 1995 ในยุคของรอย อีแวนส์

แม็คมานามานทำประตูแรกในสีเสื้อของลิเวอร์พูลได้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1990 ในเกมลีกที่พบกับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่สนามแอนฟิลด์ ซึ่งลิเวอร์พูลชนะไป 2-0 โดยแม็คมานามานทำประตูได้ในนาทีที่ 75 ส่วนอีกประตูได้จากดีน ซอนเดอร์สในนาทีที่ 82 ซึ่งเป็นลูกที่จุดโทษ

แม็คมานามานเริ่มได้ลงเล่นแบบเต็มฤดูกาลจริงๆก็เมื่อฤดูดาล 1991/92 ซึ่งเป็นปีที่เค้าเริ่มฉายแสงเป็นนักเตะตัวทำเกมให้ลิเวอร์พูลอย่างแท้จริง และก็เป็นหนึ่งในนักเตะลิเวอร์พูลชุดที่คว้าแชมป์เอฟเอ คัพมาครองได้สำเร็จในปี 1992 ที่สนามเวมบลีย์ แม็คมานามานเป็นนักเตะดาวรุ่งที่พุ่งขึ้นมาในยุคเดียวกับไรอัน กิ๊กส์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ในปี 1995 แม็คมานามานเป็นคนยิง 2 ประตูในชัยชนะเหนือโบลตัน วันเดอเรอร์ส 2-1 ในรอบชิงลีก คัพ ซึ่งเกมนั้นเค้าได้รับเลือกให้เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ด้วย

ในปี 1997 แม็คมานามานตกเป็นข่าวในเรื่องการย้ายทีมเพราะมีทั้งบาร์เซโลน่า (สเปน) และยูเวนตุส (อิตาลี) ที่พร้อมจะซื้อตัวเค้าไปร่วมทีมในราคา 12.5 ล้านปอนด์ แต่ลิเวอร์พูลปฏิเสธข้อเสนอของทั้งสองทีมไป (ก่อนที่แม็คมานามานจะย้ายไปแบบไม่มีค่าตัวไปร่วมทีมรีล มาดริดด้วยกฏบอสแมนในปี 1999)

แม็คมานามานถือว่าเป็นนักเตะพรสวรรค์สูงคนหนึ่งโดยเซอร์อเล็กซ์เคยออกปากชมว่า ถ้าเป็นไปได้ผมอยากซื้อเค้ามาร่วมทีม แต่ก็รู้ดีว่าลิเวอร์พูลคงไม่ขายนักเตะแบบเค้าให้เราหรอก ก่อนเกมที่ลิเวอร์พูลจะพบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพปี 1996, โดยก่อนการแข่งขันนักเตะลิเวอร์พูลเดินทางไปตัดสูทยี่ห้ออาร์มานี (Armani) เพื่อใช้ในการเดินลงสนามซึ่งแน่นอนนักเตะที่เดินทางไปด้วยก็ต้องมีเจมี เรดแนปป์, ร็อบบี ฟาวเลอร์, เจสัน แม็คเอเทียร์, เดวิด เจมส์ และสแตน คอลลีมอร์ โดยในยุคนั้นกลุ่มนักเตะของลิเวอร์พูลกลุ่มนี้ถูกสื่อขนานนามว่าเป็น สไปซ์ บอย เนื่องจากพฤติกรรมนอกสนามที่ดูป๊อบปูล่า

ในทีมลิเวอร์พูลเพื่อนที่สนิทที่สุดของแม็คมานามานก็คือร็อบบี ฟาวเลอร์ แม้ระยะหลังๆทั้งคู่จะมีโอกาสได้ลงสนามด้วยกันน้อยเนื่องจากอาการบาดเจ็บเรื้อรังของฟาวเลอร์ และการก้าวขึ้นมาของไมเคิล โอเว่น, ในปี 1997 แม็คมานามานมีส่วนช่วยให้ลิเวอร์พูลสามารถผ่านกลาสโกว์ เซลติกเข้ารอบต่อไปในรายการยูฟ่า คัพ เมื่อเค้าเป็นคนยิงประตูในเกมที่เสมอ 1-1 ที่เซลติก ปาร์ค ก่อนที่เกมที่สองที่เล่นในแอนฟิลด์จะเสมอ 0-0

ในช่วงทศวรรษที่ 90 ทุกคนรวมถึงแม็คมานามานรู้ดีว่าลิเวอร์พูลไม่ใช่สโมสรฟุตบอลหมายเลข 1 ของอังกฤษอีกแล้ว แต่เป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต่างหากที่เป็นสโมสรฟุตบอลหมายเลข 1 ของอังกฤษ และในเดือนพฤศจิกายน 1998 กับการก้าวเข้ามาของเชรา อุลลิเยร์ที่มาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของลิเวอร์พูลมันทำเค้าต้องพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่าเค้ายังเป็นกองกลางที่ดีที่สุดของลิเวอร์พูลอยู่ แม้ว่าเค้าจะได้คำแนะนำจากพอล แกสคอยน์, พอล อินซ์ และคริส วอดเดิลว่าควรย้ายไปหาประสบการณ์ใหม่ๆในต่างแดนเพื่อที่จะพัฒนาความสามารถที่มีอยู่ให้เพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่แม็คมานามานเลือกที่จะปักหลักในถิ่นแอนฟิลด์ต่อไป, โดยใน ESPN เมื่อปี 2004 ได้เคยทำสกู๊ปว่าจริงๆแล้วแม็คมานามานรู้ดีว่าลิเวอร์พูลต้องการที่จะขายเค้าให้บาร์เซโลน่าในราคา 12.5 ล้านปอนด์ มันจึงทำให้เค้าคิดว่าลิเวอร์พูลเริ่มที่จะไม่จริงใจกับเค้าแล้วทั้งๆที่ตลอดมาเค้าทุ่มเทให้กับสโมสรแห่งนี้แบบเต็มร้อยตลอด และทำให้เค้าแก้แค้นลิเวอร์พูลกลับโดยการเตะถ่วงเรื่องการต่อสัญญาไปเรื่อยๆจนหมดสัญญากับลิเวอร์พูลและย้ายออกจากทีมแบบไม่มีค่าตัวตามกฏบอสแมนไปร่วมทีมรีล มาดริดจนทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลประนามเค้าว่าเป็น คนทรยศ (Judas) ซึ่งจริงๆแล้วแฟนบอลไม่รู้เลยว่าทำไมเค้าถึงต้องทำแบบนั้น

แม็คมานามานลงเล่นให้ลิเวอร์พูลทั้งหมด 364 เกม ทำได้ 66 ประตู

รีล มาดริด
แม็คมานามานย้ายมาร่วมทีมรีล มาดริดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1999 ในยุคของกุส ฮิดดิงก์ (ผู้จัดการทีม) และ ลอเรนโซ ซานซ์ (ประธานสโมสร) ที่รีล มาดริด แม็คมานามานเป็นนักเตะอังกฤษคนสองที่ทีมรีล มาดริดเซ็นต์สัญญามาร่วมทีม โดยนักเตะอังกฤษคนแรกที่ได้ย้ายมาเล่นให้รีล มาดริดคือลอรี คันนิงแฮมในช่วงทศวรรษที่ 80 โดยเค้าเป็นนักเตะอังกฤษที่ย้ายมาเล่นในสเปนคนแรกหลังจากยุคแกรี ลินิเกอร์ที่ย้ายจากเอฟเวอร์ตันมาเล่นให้บาร์เซโลน่าในปี 1986

แม็คมานามานเล่นให้รีล มาดริดเกมแรกเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 1999 ในเกมลา ลีกาที่รีล มาดริดชนะรีล มายอร์กาไป 2-1 หลังจากนั้น 1 สัปดาห์แม็คมานามานได้ลงเล่นในสนามซานติอาโก เบอร์นาบิวเป็นครั้งแรกในเกมที่รีล มาดริดชนะนูมานเซีย 4-1

แม็คมานามานเป็นนักเตะที่อยู่ในชุดแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกเมื่อปี 2000 ภายใต้การคุมทีมของบิเซนเต้ เดล บอสเก ซึ่งเล่นกันที่สนามสต๊าด เดอ ฟร็องซ์ในเมืองปารีสของฝรั่งเศส ซึ่งรีล มาดริดเอาชนะบาเลนเซียไปได้ 3-0 โดยในเกมนั้นแม็คมานามานสามารถทำได้ 1 ประตู (ทำประตูให้ทีมนำ 2-0) และเป็นถ้วยรางวัลในระดับยุโรปใบแรกสำหรับแม็คมานามานด้วย ที่สำคัญเค้าเป็นนักเตะอังกฤษคนแรกที่ได้แชมป์รายการนี้กับสโมสรต่างแดน

แต่การย้ายมาร่วมทีมรีล มาดริด แม็คมานามานก็ไม่ได้ลงสนามเท่าที่ควรและโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีเหมือนสมัยที่เล่นให้ลิเวอร์พูลจนมีข่าวว่าสโมสรจะปล่อยตัวเค้าออกไปโดยมีมิดเดิลสโบรชที่พร้อมซื้อเค้าโดยเสนอค่าตัวให้ 11 ล้านปอนด์แต่เป็นแม็คมานามานที่ปฏิเสธไม่ยอมย้ายไป, ในฤดูกาล 2000/01 เป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่รีล มาดริดอยู่ในฐานะทีมที่ได้ลุ้นแชมป์ลา ลีกา แต่จบฤดูกาลเป็นเดปอร์ติโว ลา คอรุนญ่าที่คว้าแชมป์ไปครองโดยมีแต้มมากกว่ารีล มาดริดถึง 7 แต้ม

และจากการสร้างทีมที่ถูกขนานนามว่า กาแลคติกอส (Galacticos) ที่ทีมทุ่มซื้อนักเตะระดับโลกมาร่วมทีมทั้งหลุยส์ ฟิโกและซีเนอดีน ซีดานก็ยิ่งทำให้โอกาสที่แม็คมานามานจะได้ลงสนามก็ยิ่งมีน้อยลงไปด้วย แม้จะไม่ค่อยได้ลงสนามแต่แม็คมานามานก็ยังตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ โดยสมัยที่เล่นให้รีล มาดริดเค้ามีนักเตะที่ชื่นชอบ 6 คนคือราอูล, ซีดาน, กูตี,เอลเกรา, ฟิโก้ และโรนัลโด แม้จะได้ลงสนามในฐานะตัวสำรองมากกว่าตัวจริงแต่แม็คมานามานก็ยังถูกแฟนบอลโหวตให้ป็นนักเตะสำรองที่แฟนบอลชื่นชอบมากที่สุดในปี 2001 และหลังจากถูกโหวตเค้าก็สามารถทำประตูได้ในเกมที่พบกับรีล โอเบียโดอีกด้วย

ในช่วงปี 2001 ฟลอเรนติโน โลเปซ ซึ่งเป็นประธานสโมสรรีล มาดริดคนใหม่ได้บอกกับแม็คมานามานว่า คุณเป็นนักเตะที่ดีแต่ตอนนี้คุณสามารถย้ายทีมได้โดยไม่มีเงื่อนไขเพราะคุณไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีมของเราอีกต่อไปแล้ว ทำให้เค้ารู้ดีว่าอนาคตในถิ่นซานติอาโก เบอร์นาบิวคงหมดแล้วแน่แต่เค้าก็ยังไม่ยอมย้ายออกจากทีมไป โดยสมัยที่ค้าแข้งในสเปนเค้าลงเล่นให้รีล มาดริดไป 151 เกม, ในปี 2002 เป็นอีกครั้งที่รีล มาดริดได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกโดยสามารถเอาชนะไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นไปได้ 2-1 โดยได้ประตูชัยจากการวอลเลย์อย่างสุดสวยของซีเนอดีน ซีดาน ที่สนามแฮมป์เดน ปาร์ค, กลาสโกว์ โดยแม็คมานามานถูกส่งลงไปแทนฟิโก้ในนาทีที่ 61 และนี่ก็เป็นการได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกครั้งที่ 2 ในชีวิตค้าแข้งของเค้า แม้ตลอดทั้งฤดูกาลนั้นแม็คมานามานจะแทบไม่ได้ลงเล่นให้รีล มาดริดเลยก็ตามที

ในปี 2000 หนังสือแม็กกาซีนอย่าง Forbes เคยลงสกู๊ปเกี่ยวกับนักฟุตบอลที่มีรายได้สูงสุดของโลก ซึ่งแม็คมานามานติดอยู่ที่อันดับ 6 โดยมีค่าเหนื่อยสูงถึง 15 ล้านยูโร (10.25 ล้านปอนด์) ในสัญญา 4 ปีที่เซ็นต์กับรีล มาดริด และเป็นนักฟุตบอลอังกฤษที่มีค่าเหนื่อยแพงที่สุดในขณะนั้นด้วย

แมนเชสเตอร์ ซิตี้
จากการที่รีล มาดริดเซ็นต์สัญญาคว้าตัวเดวิด เบคแคมไปร่วมทีมในปี 2003 ทำให้แม็คมานามานรู้ดีว่าแม้แต่ตัวสำรองก็คงจะเป็นเรื่องยากแล้ว เค้าจึงตัดสินใจย้ายกลับมาพรีเมียร์ ลีกอีกครั้งโดยเซ็นต์สัญญากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในยุคของเควิน คีแกน เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2003 โดยขณะนั้นในทีมมีนักเตะที่เค้าสนิทด้วยหลายคนไม่ว่าจะเป็นร็อบบี ฟาวเลอร์, เดวิด เจมส์, นิโกล่าส์ อเนลกา และเดวิด ซีแมน

แม็คมานามานลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้เกมแรกเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2003 ในเกมที่พบกับแอสตัน วิลล่า ที่สนามซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ สเตเดียม ซึ่งเกมนั้นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ชนะไป 4-1 ซึ่งฌอน ไรท์-ฟิลิปส์เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากแม็คกาในช่วง 2 ฤดูกาลที่เค้าอยู่ที่นี้ เค้าเป็นแบบอย่างที่ผมควรเรียนรู้

ในระดับทีมชาติ
ในเดือนกุมภาพันธ์ 1993 แม็คมานามานได้เป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษชุด U-21 ในเกมที่พบกับซาน มาริโน และเค้าสามารถทำได้ 1 ประตูซึ่งเป็นประตูปิดท้ายให้อังกฤษชนะไป 6-0, ก่อนที่ต่อมาเทอร์รี เวนาเบิลจะเรียกเค้ามาติดทีมชาติชุดใหญ่ในเกมกระชับมิตรกับไนจีเรีย เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 1994 ที่สนามเวมบลีย์ โดยเค้าถูกส่งลงไปแทนโรเบิร์ต ลี (นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด) แต่แม็คมานามานก็ต้องรอถึง 5 ปีกว่าที่จะยิงประตูแรกในนามทีมชาติได้ โดยเค้าทำได้ 2 ประตูในเกมที่ชนะลักเซมเบิร์ก 6-0 ในรอบคัดเลือกศึกยูโร 2000 เมื่อวันที่ 4 กันยายน 1999 ที่สนามเวมบลีย์

สำหรับทีมชาติแม็คมานามานไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนักแต่ถึงกระนั้นเปเล่ก็เคยให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่าแม็คมานามานคือผู้เล่นที่เก่งที่สุดของอังกฤษไม่ต่างอะไรกับอลัน เชียร์เรอร์และเดวิด ซีแมนหลังจากที่ได้เห็นลีลาของแม็คมานามานในศึกยูโร 96

นอกจากนี้แม็คมานามานยังติดทีมชาติไปลุยศึกฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศสและศึกฟุตบอลยูโร 2000 ที่โปรตุเกสอีกด้วย โดยในรายการยูโร 2000 แม็คมานามานทำได้ 1 ประตูในเกมพบกับโปรตุเกสแต่จบเกมอังกฤษแพ้พลิกล็อกทั้งๆที่นำไปก่อน 2-0 กลับมาแพ้ 2-3 หลังจบ 90 นาที, ในปี 2001 กับการก้าวเข้ามาของสเวน โกรัน อีริคสันในฐานะผู้จัดการทีมชาติอังกฤษคนใหม่ แม็คมานามานมักถูกเลือกให้ลงสนามเป็นตัวจริงในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2002 แต่พอถึงรอบสุดท้ายเค้ากับหลุดไม่ติด 1 ใน 23 ผู้เล่นที่ไปลุยโคเรีย/เจแปน 2002 และได้รับ sms จากสเวนเพียงว่า เสียใจด้วย ผมไม่สามารถที่จะเลือกคุณให้เป็น 1 ใน 23 ขุนพลในชุดลุยฟุตบอลโลกได้ ซึ่งจนถึงปัจจุบันมันยังเป็นคำถามที่คาใจเค้าตลอดมาทั้งๆที่ในรอบคัดเลือกเค้าได้ลงเล่นเกือบทุกเกม






ชีวิตหลังเลิกเล่นฟุตบอล
หลังจากหมดสัญญากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อ 20 พฤษภาคม 2005 เค้าเคยทำงานเป็นผู้วิเคราะห์ของ ITV เกี่ยวกับฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกรอบชิงชนะเลิศปี 2005, และทำงานให้ ESPN Star in Asia ในปี 2006

ในเดือนตุลาคม 2006 แม็คมานามานกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งในรายการเพื่อการกุศลซึ่งเป็นการพบกันระหว่างทีมตำนานของลิเวอร์พูลและทีมตำนานของเซลติก

ในเดือนธันวาคม 2006 หนังสือพิมพ์เซาธ์ ไชน่า มอร์นิง โพสต์ได้รายงานข่าวว่าแม็คมานามานอาจจะกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งในฮ่องกงกับทีมฮ่องกง เรนเจอร์สโดยมีแหล่งที่มายืนยันแน่นอน แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บหัวเข่าทำให้แม็คมานามานไม่สามารถที่จะเซ็นต์สัญญากลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งได้ เค้าเคยให้สัมภาษณ์ว่า จริงๆแล้วผมอยากจะกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งแต่ก็คงยากเพราะสภาพร่างกายของผมไม่ดีเหมือนสมัยหนุ่มๆ ตอนนี้ผมทำได้เพียงแค่มองดูนักฟุตบอลรุ่นใหม่ๆเท่านั้น และผมคงต้องยุติอาชีพนักฟุตบอลหลังจากเล่นมา 17 ปีแล้ว ตอนนี้ผมมีความสุขที่จะได้อยู่กับครอบครัว ได้อยู่กับภรรยาที่น่ารักๆอย่างวิคตอเรียและลูกของผม






ชีวิตส่วนตัว
แม็คมานามานแต่งงานกับเพื่อนสาวที่คบกันมานานอย่างวิคตอเรีย เอ็ดเวิร์ดซึ่งเป็นอาจารย์สอนกฎหมาย เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2002 ที่ Mallorca's Palma Cathedral, โดยมีลูก 1 คนเกิดเมื่อปี 2006




เกียรติประวัติและถ้วยรางวัล

กับทีมลิเวอร์พูล (1989-1999)

แชมป์
เอฟเอ คัพ - 1991/92
ลีก คัพ - 1994/95 (ได้รางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ในนัดชิงชนะเลิศอีกด้วย)

รองแชมป์
เอฟเอ คัพ - 1995/96

กับทีมรีล มาดริด (1999-2003)
แชมป์
ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก - 1999/2000, 2001/02
ลา ลีกา สเปน - 2000/01, 2002/03
ศึกชิงแชมป์สโมสรโลก - 2002
ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ - 2002
สแปนิช ซุเปอร์ คัพ - 2001

รองแชมป์
ศึกชิงแชมป์สโมสรโลก - 2000
ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ - 2000
โคปปา เดล เรย์ - 2001

กับทีมชาติอังกฤษ (1994-2001)
1996 ติดทีมไปทำศึกยูโร 96 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพ
1998 ติดทีมไปทำศึกฟุตบอลโลก 98 ที่ฝรั่งเศส
2000 ติดทีมไปทำศึกยูโร 2000 ที่เบลเยี่ยมและฮอลแลนด์เป็นเจ้าภาพ

***1996 ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนท์ของศึกยูโร 96***

ติดทีมชาติทั้งสิ้น 37 นัด ทำได้ 3 ประตู



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์