การดวลกันระหว่างแชมป์เก่ากับแชมป์ใหม่ล่าสุด ลงเอยด้วยผลเสมอเมื่อกองกลางตัวเก่งของจิ้งจอกสยามทำประตูตีเสมอได้ในช่วงท้ายเกม
กุส ฮิดดิ้งก์ กุนซือเจ้าบ้าน ซึ่งจะลงคุมทัพเป็นนัดสุดท้ายก่อนอำลาตำแหน่งให้ อันโตนิโอ คอนเต้ มารับงานต่อในฤดูกาลหน้า ปรับทัพจากนัดล่าสุดเมื่อกลางสัปดาห์ที่บุกเสมอลิเวอร์พูล 1-1 เพียงแค่ 2 รายเท่านั้น คือ ธิโบต์ กูร์ตัวส์ และ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ที่ได้กลับมาลงตัวจริงแทน อัสมีร์ เบโกวิช กับ จอห์น โอบี มิเกล
ด้านทีมเยือนของ เคลาดิโอ รานิเอรี ที่ได้กลับมาเยือนถิ่นเก่าอีกครั้งพร้อมตำแหน่งแชมป์ เปลี่ยนนักเตะจากเกมเมื่อสัปดาห์ก่อนที่เปิดรังอัดเอฟเวอร์ตัน 3-1 ทั้งสิ้น 2 รายเช่นกัน ได้แก่ แดนนี ดริ้งค์วอเทอร์ กับ เดมาไร เกรย์ ซึ่งได้โอกาสลงเป็น 11 คนแรกแทนที่ของ มาร์ค อัลไบรท์ตัน และ ชินจิ โอกาซากิเกมในช่วง 45 นาทีแรกเป็นเชลซีที่ครองบอลบุกเข้าใส่ได้มากกว่าอย่างชัดเจน แต่ก็ยังไม่สามารถส่งบอลผ่านมือ แคสเปอร์ ชไมเคิล ที่โชว์ฟอร์มสุดเหนียวหนึบได้เลย ทำให้จบครึ่งแรกไปแบบไร้สกอร์ที่ 0-0
ครึ่งหลังแม้ว่าแม้ว่าเลสเตอร์จะส่งตัวหลักอย่าง โอกาซากิ และ เจฟฟรี ชลูปป์ ลงมาเป็นตัวสำรองแทน เกรย์ กับ แอนดี้ คิง แต่ในส่วนของเกมรุกก็ยังเป็นสิงห์บลูส์ที่ดูดกว่า จนกระทั่งมาได้จุดโทษ ในนาทีที่ 65 จากจังหวะที่ ชลูปป์ ไปเจตนาเสียบสกัดใส่ เนมันยา มาติช จนล้มลงไป ก่อนจะเป็น เชสก์ ฟาเบรกาส รับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่พลาด ส่งให้เจ้าบ้านขึ้นนำ 1-0
อย่างไรก็ดี นาทีที่ 82 ของการแข่งขัน เลสเตอร์ ซิตี้ ก็มาตามตีเสมอได้สำเร็จ เมื่อแดนนี ดริงค์วอเตอร์ ได้บอลจากระยะกว่า 30 หลา ก่อนจะยิงไกลบอลพุ่งเสียบเสาเกินกว่าที่ธิโบต์ กูร์ตัวส์ จะปัดทัน ส่งผลให้จิ้งจอกสยามตีเสมอเป็น 1-1 ก่อนจะหมดเวลาการแข่งขันไปด้วยสกอร์นี้
ขอบคุณGOAL.COM/TH
กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
กระทู้ล่าสุด
รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
