อาถรรพ์หมายเลข 7 ของทีมเทพ..

รามิเรสกับอาถรรพ์เสื้อหมายเลข7

เฮ้อออ... ช่วงนี้จะกระดิกนิ้วคลิกเข้าบอร์ดมาทำอะไรที ถึงกับต้องถอนหายใจนำเลยทีเดียว เพราะรู้สึกว่าอะไรๆมันช่างไม่ค่อยเข้าทางเอาซะเลย จะว่าไปประเด็นหลักในระยะนี้คงเป็นเรื่องของ นักเตะฟอร์มตกทีมเก็บคะแนนไม่ได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนตอนต้นฤดูกาล การไม่ต่อสัญญากับ เรย์ ,แฟร้ง ละก็รวมไปถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงฟอร์มของนักเตะคนใหม่เจ้าของเสื้อ หมายเลข 7 รามิเรส ซานโตส โด นาสซิเมนโต้

ก่อนจะพูดถึง รามิเรส หลายคนคงพอที่จะเคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับ
อาถรรพ์ เบอร์เสื้อหมายเลข 7 ของทีม เชลซี
และก็คงยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่า เบอร์เสื้อหมายเลข 7 ของทีม เชลซีนั้นมีความเป็นมาอย่างไรถึงได้กลายเป็น อาถรรพ์ อย่างที่เขาล่ำลือกัน
มันเป็นอย่างไรหน่ะหรือ? มาดูกัน



arsenalเริ่มจาก .. ไบรอัน เลาดรู๊ป กองกลาง หมายเลข 7
ถือว่าเป็นนักเตะคนหนึ่งที่เป็นตำนานของ ทีมชาติเดนมาร์ก เลยก็ว่าได้ เลาดรู๊ป ได้สร้างชื่อให้กับตัวเองจากการ ลงเล่นให้กับ เรนเจอร์ส ระหว่างปี 1994 -1998 ยิงไป 45 ประตู จากการลงเล่น 151 นัด ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีก 3 สมัย, สกอตติช คัพ 1 สมัย และลีก คัพ 1 สมัย และยังได้รับรางวัลเป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของ เดนมาร์ก ถึง 4 สมัยด้วยกัน

เลาดรู๊ป ได้ย้ายเข้ามาซบ เชลซี หลักจากจบฟุตบอลโลก ปี1998 พอย้ายเข้ามาอยู่กับ เชลซี ได้ไม่นาน เลาดรู๊ป ก็มีปัญหาที่คาดว่าน่าจะเกี่ยวกับอาการทางด้ายจิตใจ ส่งผลทำให้เค้าไม่ค่อยได้ลงเล่นให้กับ เชลซี มากนัก ผลงานการทำประตูในลีก ทำได้แค่ 1 ประตู จากการลงเล่น 11 นัดด้วยกัน เลาดรู๊ป มีปัญหาในเรื่องคิดถึงบ้าน หรือ Home Sick นั่นแหละ เลยร้องขอสโมสรเพื่อย้ายไปเล่นกับทีมในบ้านเกิดโดยย้ายไปเล่นกับ โคเปนเฮเก้น ทีมในเดนมาร์ก

ล่าสุดตอนนี้ตัวเขากำลังเขารับการรักษาอาการป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะเริ่มต้น หลังเพิ่งตรวจพบเมื่อไม่นานมานี้ ผมขอเป็นตัวแทนของเพื่อนๆชาว Chelsea.in.th อวยพรให้ ไบรอัน เลาดรู๊ป หายจากโรคร้ายกลับมาสุขภาพแข็งแรงเหมือนเดิมน่ะครับ



arsenalดีดิเย่ร์ เดส์ชองส์ กองกลาง หมายเลข 7 เป็นกัปตันทีมชาติฝรั่งเศส คนแรก ที่ได้ชูถ้วยฟุตบอลโลก หลังเขานำทีม ตราไก่ สยบ ทีมชาติบราซิล 3-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ศึกฟุตบอลโลก ปี 1998 ที่แผ่นดินเกิดของเขาเอง หลัง ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในศึกฟุตบอลโลก อีกสองปีถัดมา เดอร์ชอง และทีมชาติฝรั่งเศส ยังต่อยอดความสำเร็จ เมื่อผงาดคว้าแชมป์ยูโร 2000 เมื่อสามารถเอาชนะ อิตาลี ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ในรอบชิงชนะเลิศ 2-1

นอกจากเกียรติประวัติจากทีมชาติแล้ว เดส์ซองส์ ยังคว้าแชมป์กับสโมสรต่างๆที่เค้าไปเล่นได้อีกมากมาย อย่างเช่น คว้าแชมป์ลีก 1 สมัย และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย กับ มาร์กเซย , แชมป์ลีค 3 สมัย และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย กับ ยูเวนตุส

เดอร์ชองส์ ย้ายมาร่วมทีม เชลซีใน ปี 1999-2000 โดยที่นี่เขาได้กลับมาเล่นกับ มาร์แซล เดอร์ไซญี่ เพื่อนเก่าของเขาที่เคยค้าแข้งด้วยกันสมัยที่สังกัด น็องต์ เดอร์ชองส์ เติมเต็มความสำเร็จของเขา ด้วยการพา เชลซี คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ใด้สำเร็จในปี 2000 จากการเอาชนะ แอสตัน วิลล่า ในรอบชิงชนะเลิศ จะว่าไปแล้วนี้คงเป็นคนที่สวมใส่เสื้อหมายเลข 7 ของ เชลซี แล้วรุ่งเรื่องที่สุดก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างไรผลงานของ เดอร์ซอง ก็ไม่ได้ถือว่าโดดเด่นหวือหวาอะไรมากมายนักแต่ก็ไม่ได้แย่อะไรถือว่าเสมอตัวครับ



arsenalวินสตัน โบการ์เด้ แบ็คซ้าย หมายเลข 7
เข้าสู่ถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ในฤดูกาล 2000 - 2001 จากการเซ็นต์สํญญาของ จิอัลลูก้า วิอัลลี่ จากคำแนะนำของ มาริโอ เมลช็อต ในช่วง 4 ปีของการค้าแข้งใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ เขาตอบแทนสโมสรด้วยการได้ลงเล่นเป็นตัวจริงเพียวง 4 เกมส์ เพราะอะไรถึงได้ลงน้อยอย่างนั้นหน่ะเหรอ ก็เพราะเขามักจะอ้างอยู่เสมอว่าเค้าเจ็บและไม่สามารถลงเล่นได้ เจ็บตลอด ระยะเวลาของสัญญา 4 ปี เชียวหรือนี่

โบการ์เด้ นั้นจงรักภักดีกับสโมสรอย่างที่สุดขนาดถึงกับว่าถูกไล่ให้ไปเล่นและซ้อมกับทีมเยาวชนเค้าก็ยังยินดี แม้ว่าทีมนั้นอยากจะโล๊ะเขาทิ้งมากแค่ไหนก็ตามแต่เขาได้ลงหลักปักฐานใว้แน่นจริงๆ ก็ลองคิดดูสิว่าจะมีทีมไหนที่ให้ค่าแรง 40,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ อีกหล่ะครับ ซึ่งสำหรับ เชลซี ในตอนนั้นถือว่าเยอะมากเลยทีเดียว เบ็ดเสร็จแล้ว เชลซีต้องจ่ายเงินให้เขาไป 8.3 ล้านปอนด์ ตลอดในช่วง 4 ปีของการค้าแข้งใน สแตมฟอร์ด บริดจ์

สุดท้ายแล้ว โบการ์เด้ ลงเล่นให้กับทีมเพียง 11 นัดเท่านั้น และเลิกเล่นหลังจากที่สัญญาหมดลง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม โบการ์เด้ ถึงมีชื่อติดอันดับ 10 นักเตะ 'ไร้ค่า' แห่งวงการลูกหนังเมืองผู้ดี จริงมั้ย?



arsenalเอเดรียน มูตู กองหน้า หมายเลข 7
ย้ายเข้าสู่รั้ว สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในปี 2003 ด้วยค่าตัวสูงถึง 15.8 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,100 ล้านบาท) โดยเขาได้รับการยกย่องจากผู้จัดการทีม ในถิ่นแสตมฟอร์ดบริดจ์ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ว่า มูตู คือกองหน้าที่ยอดเยี่ยมมากและสามารถเล่นได้หลายตำแหน่ง

หลังจากการย้ายมาเพียง 1 ฤดูกกาล ชีวิตของการค้าแข้งของ มูตู นั้นเริ่มมีปัญหาในประมาณปลายปี 2004 เอเดรียน มูตู ไม่ผ่านการตรวจ หาสารกระตุ้นจากการสุ่มตรวจของ “ยูเค สปอร์ต” องค์กรเอกชนที่มีหน้าที่ตรวจหาสารกระตุ้นในนักกีฬาสหราชอาณาจักร แถมสารดังกล่าวยังเป็นสารเสพติดประเภทโคเคน อีกด้วย

มูตู โดนสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือเอฟเอ สั่งลงโทษแบน ห้ามลงสนามเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี จึงส่งผลต่อเนื่องถึงสโมสร มูตู โดนเชลซีต้นสังกัดสั่งยกเลิกสัญญามูลค่า 3 ล้านปอนด์ (225 ล้านบาท) ต่อปีทันทีอีกด้วย



arsenalมานิเช่ ริเบโร่ กองกลาง หมายเลข 7
กองกลางทีมชาติ โปรตุเกส ย้ายมาเล่นในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ แบบสัญญายืมตัว ในฤดูกาล 2005-2006 ซึ่ง เชลซี ได้ยืมตัว มานิเช่ มาจาก ดินาโม มอสโก โดยเขาได้กับมาเล่นกับอดีตกุนซือของเขาเองสมัยเล่นอยู่กับ ปอร์โต้ยุค แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2003-2004 โซเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาว โปรตุเกส

แต่การย้ายมาของเขานั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลยเพราะดาวเตะชาวโปรตุกีส ไม่สามารถฉายฟอร์มเด่นออกมาได้เลย เขาแทบจะไม่มีส่วนร่วมกับทีม จนขนาดแฟนบอลแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเขาอยู่ร่วมทีมด้วย







arsenalอังเดร เชฟเชนโก้ กองหน้า หมายเลข 7 หืม..พูดถึง เชว่า ทีไรแล้วรู้สึกคิดถึงแบบบอกไม่ถูก จะพูดอะไรดีหล่ะเกี่ยวกับเขาคนนี้ หลายคนบอกว่าเขามาดับที่ เชลซี แต่สำหรับผมแล้วผมเริ่มมีความรู้สึกว่าเขาเริ่มฟอร์มตกตั้งแต่ปลายฤดูกาลสุดท้ายที่เขาอยู่กับมิลาน ก่อนที่จะมาอยู่กับ เชลซี แล้วต่างหาก แต่สิ่งที่ถือว่าเป็นสิ่งที่พลาดสำหรับ เชลซี คือการไปซื้อเขามาในราคาที่สูงลิบลิ่วต่างหาก

เชลซี ซื้อ เชว่า มาตอนปี 2006 ในราคา 30 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,890 ล้านบาท) เป็นสถิติการซื้อตัวสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร ทำลายสถิติเดิมของ มิชาเอล เอสเซียง มิดฟิลด์ทีมชาติกานา ที่ย้ายจาก โอลิมปิก ลียง

อย่างไรก็ดี เชว่า ก็ทำประตูให้เชลซีได้ไม่เปรี้ยปร้างนักในซีซั่นแรกนี้ โดยเขายิงประตูไปทั้งสิ้นเพียง 14 ประตู จากการลงเล่น 51 เกม ถัดมา ในปี 2007-2008 นั้น เชว่า ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บโดยเขาได้เข้ารับการผ่าตัดไส้เลื่อน ทำให้พลาดการลงสนามเกือบตลอดทั้งปีเลยทีเดียว ช่วงท้ายของการค้าแข้งกับ เชลซี เชว่า ได้ถูกทีมเก่าอย่าง มิลาน ยืมตัวกลับไปเล่น แต่กระนั้น เชว่า ก็ได้โชว์ฟอร์มลง 17 นัด แต่กลับยิงไม่ได้เลยแม้สักประตู

สำหรับผมแล้วผมขอจำว่า เชว่า เคยเป็นนัก เชลซี มากกว่าคนที่ล้มเหลวกับ เชลซี และขอจำเขาว่าเคยสวมใส่เสื้อเบอร์ 7 บนพื้นหลังของเสื้อสีแดงสลับดำ


...มาถึงตรงนี้พอจะทราบกันหรือยังครับว่าทำไมเบอร์เสื้อหมายเลข 7 ของ เชลซี ถึงเป็นอาถรรพ์อย่างที่เค้าว่ากันนั่นก็คงเป็นเพราะว่านักเตะคนไหนไม่ว่าจะดังและเก่งมาจากไหนก็ตาม พอย้ายมาร่วมทีมกับ เชลซี แล้วสวมเสื้อหมายเลข 7 เป็นอันว่านักเตะรายนั้นได้แดดิ้นทุกรายเลยทีเดียว เฮื้อกกก!!

และแล้วก็มาถึงคนล่าสุดสำหรับ นักเตะที่สวมเสื้อหมายเลข 7 คนปัจจุบัน รามิเรซ ซานโตส โด นาสซิเมนโต้


รามิเรส เจ้าของฉายานามว่า Queniano Azul ที่แปลว่า นักเตะเคนย่าสีน้ำเงินarsenal ย้ายเข้ามาสู่ เชลซี ในเดือนสิงหาคม 2010 ด้วยค่าตัว 22 ล้านยูโร กับสัญญา 4 ปี และเขาก็ได้สวมเสื้อหมายเลข 7รามิเรส ลงเล่นนัดแรกให้ เชลซี ในวันที่ 28 สิงหาคม 2010 ในเกมที่ชนะสโต๊ค 2 - 0 เขาลงเล่นเป็นตัวสำรองและลงเล่นแทน มิเชล เอสเซียง ในนาทีที่ 84 ของเกม จากนั้นเขาก็ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงนัดแรกในเดือนกันยายน ในเกมที่พบกับ เวสต์ แฮม ยูไนเต็ด

หลังจากที่เขาได้ย้ายเข้ามาสู่ทีมได้สักระยะหนึ่งหลายคนคงรู้สึกอึดอัดกับบทบาทภายในทีมพอสมควร ซึ่งเขาได้รับโอกาสจาก กุนซือคางทูม คาร์โล่ อันเชล็อตติ ในการลงสนามอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับทีมและฟุตบอลสไตล์อังกฤษได้มากนัก

อุปสรรค์หลักที่เป็นปัญหาคอยขัดขวางการปรับตัวของ รามิเรส ก็คงจะเป็นเรื่อง “ ภาษา ” เพราะเมื่อไม่นานมานี้ รามิเรส ได้ออกมาให้สำพาทษ์ว่า “สิ่งที่ยากที่สุดในการปรับตัวให้เข้ากับทีมนั้นคือเรื่องของภาษา และเขาก็รู้สึกอึดอัดที่ไม่สามารถคุยกับใครได้รู้เรื่อง

หลายคนอาจจะคิดว่า รามิเรส เล่นบอลห่วยแตก เลี้ยงไม่คล่อง จ่ายไม่ดี ยิงประตูไม่เป็น รูปร่างเปราะบาง ไม่หนำซ้ำบางคนยังติติงไปถึงแมวมองที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับนักเตะจนนำไปสู่การเซ็นต์สัญญา ว่าไปนั่น ใจเย็นๆครับพี่น้อง
arsenal

แต่สำหรับผมแล้วผมอยากจะมองเขาในแง่ดีใว้ก่อน ซึ้งถ้าจะให้พูดตามจริงแล้วระยะเวลาเพียงไม่กี่นัดที่ผ่านมา มันยังไม่สามารถบอกอะไรได้มากมายนัก ผมขอไม่พูดถึงเรื่องที่หลายๆคนบ่นและตั้งกระทู้ขึ้นมาติติงก็แล้วกันน่ะครับเพราะพูดกันมาเยอะแล้ว สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือด้านดีที่ผมมองเห็นในตัวของ รามิเรส ก็แล้วกัน

ผมมานั่งคิดๆดูถ้านักเตะคนหนึ่งที่ไม่สามารถพูดกับเพื่อนในทีมรู้เรื่องเลย (ยกเว้น อเล็กซ์) มันก็คงจะเป็นเรื่องที่ลำบากมากในการสื่อสารกัน รามิเรส เป็นนักเตะที่คาดเดาสถานการณ์ได้ดี ผมเห็นหลายๆครั้งที่เขาพยายามวิ่งไล่ตัดบอลจังหว่ะสำคัญๆหน้ากรอบเขตโทษ

ซึ่งนี่คือจุดเด่นของเขาเลยก็ว่าได้ ในการช่วยเกมส์รับนั้น รามิเรส ทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว รามิเรส เป็นนักเตะที่สามารถวิ่งไล่คู่ต่อสู้ได้ตลอดทั้งเกมส์ ผมเลยมักจะเห็นและคิดว่าเค้ามักจะเล่นดีขึ้นในครึ่งหลังเสมอๆ

จะว่าไปแล้วถ้า รามิเรส ยังมีช่วงเวลาที่เล่นดีกับทีมไม่ได้แย่ตลอดทั้งเกมส์ ผมก็ยังอยากมองโลกในแง่ดีใว้ก่อนว่าเค้ายังปรับตัวไม่ได้เฉยๆ แต่ก็อย่างว่ามันก็คงต้องใช้เวลาในการปรับตัวสักระยะหรืออาจจะเป็นปี อย่างบทความก่อนหน้านี้ที่ คุณโบ๊ตเอาสถิติ ออกมาให้อ่านกัน
...ผมก็คงได้แต่หวังว่า รามิเรส นักเตะ นักเตะเคนย่าสีน้ำเงิน จะลบอาถรรพ์หมายเลข 7 และปรับตัวให้เข้ากับทีมได้จนกลายเป็น 1 ในคนสำคัญของทีมต่อไป..

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์