ดิดิเยร์ ดร็อกบา กับคำตอบเกมรุกของ เชลซี !!!!????

'ดิดิเยร์ ดร็อกบา' กับคำตอบเกมรุกของ เชลซี !!!!????

จั่วหัวซีซั่น 3 นัดแรกอัดแหลกไป 14 ดอกและรักษาคลีนชีทได้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์คือภาพรวมที่แสดงออกมา.. ตอบจากผลงานไม่มีใครปฏิเสธเลยว่ามันร้อนแรงเหนือคำบรรยาย
arsenal
แต่ถ้ามองถึงประสิทธิภาพไม่รวมประสิทธิผลตัวผมไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ คือยิงกันกระจาย แต่รูปเกมไม่ค่อยต่อเนื่อง ความไหลลื่นไม่บังเกิด แถมแต่ละประตูทีไ่ด้แทบจะไม่ได้เห็นการต่อบอลเข้าไปทำเกมเหมือนที่เคยๆ ทำกันในฤดูกาลดับเบิ้ลแชมป์

ส่วนมากมาจากความสามารถเฉพาะตัวของ ดิดิเยร์ ดร็อกบา กับ ฟลอล็องค์ มาลด้า เป็นหลักรวมถึงการขึ้นเกมแบบสุดเส้นของ แอชลีย์ โคล ที่มีค่าเป็นแอสซิสมานักต่อนัก

หลักๆ เลยอาจมองได้ว่าการพึ่งกลับมาจากศึกฟุตบอลโลก 2010 คือเหตุผลที่ทำให้นักเตะไม่ฟิตโดยเฉพาะ แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่ฟอร์มตกอย่างเห็นได้ชัดแถมซัดจุดโทษในเกมที่พบกับ สโต๊ค ซิตี้ พลาดยิ่งทำให้ความมั่นใจหายไปกว่าครึ่ง

จบเกมที่พบกับช่างปั้นหม้อ แลมพาร์ด มีปัญหาอาการบาดเจ็บ.. นับจากวันนั้นจนถึง ณ ตอนนี้มิดฟิล์ดเพรชฆาตหน้าหยกยังมิอาจกลับมาคืนสนามได้ดั่งที่แฟนบอลหวัง..

หลายคนเริ่มสงสัยว่าจะส่งผลกระทบอะไรหรือไม่ ???

การขาดกองกลางตัวทำเกมและคุมจังหวะอย่างมิตเตอร์แฟรงค์ไปมันคงทำให้ความหลากหลายจากแดนกลางลดลงไปอย่างไม่ต้องสงสัยแต่ทำไมผลงานของ เชลซี ยังคงเดินหน้าเก็บ 3 แต้มได้อย่างต่อเนื่อง ?

คำตอบคลี่คลายออกมาคือทีมสามารถแก้ไขวิกฤตได้ในระยะสั้นเพราะ จอห์น โอบิ มิเกล เติบโตขึ้นกว่าเก่าเยอะมากจนก้าวมาเป็นตัวหลักในเวลานี้

เมื่อมีกองกลางตัวรับที่ไว้ใจได้ืทั้งตัดเกมและสกรีนบอลสั้นๆ ให้เพื่อนมันก็ทำให้สไตล์การเล่นของ ไมเคิ่ล เอสเซียง เปิดออกมาจนถึงขีดสุด..
arsenal
ยืนแกนด้วย มิเกล กับ เอสเซียง แล้วอีก 1 จะหาใครมาลงก็ได้ไม่ว่าจะเป็น รามิเรส หรือ ยูริ เชียร์คอฟ แถมมีเจ้าหนู จอสช์ แม็คอีชแรน เข้ามาเป็นตัวเลือกอีก 1

ส่วนหน้าที่ในการคุมจังหวะสร้างสรรค์เกมตรงกลางเมื่อไม่มี แลมพาร์ด มันจึงตกไปเป็นของ 2 ดาวเตะเฟรนช์แมนอย่าง มาลูด้า และ อเนลก้า ตัวรุกอเนกประสงค์

ด้วยฟอร์เมชั่นอาจยืนริมเส้นแต่พอลงเล่นจริง 2 คนนี้มักตัดเข้ามาตรงกลางเพื่อเปิดพื้นที่ให้ 2 ฟูลแบ็คอย่าง แอชลีย์ โคล เดินเกมสูง.. ส่วนน้าง่วง เปาร์โล เฟอร์เรร่า งัดลูกเด็ดจากการครอสบอลแม่นยำออกมาโชว์จน อันเชล็อตติ ไว้ใจ

เวลาผ่านไปทีมยิงได้น้อยลงแต่ผมกลับรู้สึกประทับใจการรูปแบบการเล่นมากกว่าเก่า.. ชัดเจนที่สุดก็คือสปีดเกมไวขึ้นแถมต่อบอลกันพลาดยาก มีจังหวะทำชิ่ง 1 - 2 ให้เห็นกันมากกว่าจนนำมาซึ่งฟอร์มอัดยอดเยี่ยมของมหาเมพมารูโจ้

ครั้งหนึ่ง โชเซ่ มูรินโญ่ เคยยกย่อง ดิดิเยร์ ดร็่อกบา กับ แฟรงค์ แลมพาร์ด ว่าเป็นท่าไม้ตายของเขาสมัยที่ยังคุม เชลซี.. ยามใดที่ทีมต้องการประตู เมื่อบอลไปอยู่ที่เท้าของ 2 ผู้เล่นนี้เมื่อไหร่นั่นหมายความว่าทีมมีโอกาสเสมอ

ลงเล่นพร้่อมกันคือประสิทธิภาพสูงสุด.. ขาดใครคนใดไปมันก็ต้องดร็อปลงแล้วถ้าไม่มีทั้ง 2 เลยละ มันจะเกิดอะไรขึ้น ???

ง่ายๆ เลยผมขอยกตัวอย่างในเกมที่พบกับ แอสตัน วิลล่า มาพูดละกันครับ..

วันนั้นทีมเล่นครึ่งแรกได้ห่วยบรม ผมพยายามหาคำพูดอื่นมาใช้ที่ดีกว่านี้แต่นึกไม่ออกจริงๆ ... กลับกันมันค่อนข้างรู้สึกดีมากขึ้นเมื่อเกมครึ่่งหลัง อันเชล็อตติ แก้ลำมาดีทำให้จากที่ขอแค่เสมอใน 45 นาทีแรกสามารถลุ้นถึง 3 แต้มเต็มในครึ่งเวลาหลัง

เมื่อรูปแบบการเข้าทำมันดีขึ้น แต่จบเกมด้วยสกอร์ 0 - 0 มันก็สามารถพูดได้ต่อว่าเพราะอะไรจึงไม่ชนะถึงแม้ แอสตัน วิลล่า จะเป็นโบกี้ทีมของ เชลซี ก็ตาม..

ถ้าให้ตอบผมก็คงตอบว่าไร้กองหน้าตัวเป้านั่นแหละครับ.. ยามใดที่ไร้ ดร็อกบา ความน่ากลัวในกรอบเขตโทษของ เชลซี มันลดลงไปแบบทวีคูณเพราะสไตล์การเล่นของ นิโกล่าส์ อเนลก้า เป็นกองหน้าประเภทชอบลงมาล้วงบอลทำเกม

เมื่อเป็นเช่นนั้นพอทำต่อบอลไปถึงริมเส้นได้แต่จังหวะครอสเข้าไปมันไม่มีใครอยู่ในพื้นที่อันตรายนั่นก็จบ ทำสวยแต่ไร้คนปิดสกอร์มันก็ไม่ค่าอะไร แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เราเห็นได้ถึงปัญหานี้
arsenal
ต่อเนื่องมาถึงนัดที่ เชลซี บุกไปสยบ สปาร์ัตัก มอสโคว์ 2 - 0 มันแสดงออกเลยว่า อันเชล็อตติ พยายามแก้ไขในจุดนี้จริงๆ แล้วมันก็ได้ผล

แมทนี้ อเ้นลก้า พยายามป้วนเปี้ยนอยู่ข้างหน้าตลอดเวลาเพราะนักเตะที่คอยมาทำเกมเองก็มีทั้ง มาลูด้า แถม ซาโลมอน คาลู หายเจ็บกลับมาแบบนี้ยิ่งเข้าทาง..

เมื่อกดดันแนวรับฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งริมเส้นและข้างหน้าเมื่อไหร่ความสามารถของกองกลางจะแสดงผลเมื่อนั้น.. ไมเคิ่ล เอสเซียง โชว์ฟอร์มโดดเด่นพาบอลขึ้นมาตรงกลางสนามก่อนผ่านบอลให้ อเนลก้า ที่คอยเช็กกับดักล้ำหน้าตลอดเวลาและแปรเปลี่ยนจังหวะนั้นให้มันเป็นประตูได้สำเร็จ

นี่คือสิ่งที่หายไปในเกมที่พบกับ วิลล่า เหมือนที่ผมได้บอกไว้แล้วว่าไม่มีตัวเป้าคอยค้ำโจมตีแผงรับมันทำให้งานของคู่เซนเตอร์ฮาร์ฟฝ่ายตรงข้ามไม่หนักหนาสาหัสเท่าที่ควร

ใช้ศูนย์หน้าตัวเป้าและโจมตีด้วยริมเส้นจากปีกหรือฟูลแบ็คคือสิ่งที่ เชลซี ทำมาตลอด 6 ปี.. ไม่ว่าจะเปลี่ยนจาก มูรินโญ่ มาเป็น แกรนท์ สโคลารี่ ลุงกุส จนมาถึง อันเชล็อตติ สิ่งนั้นก็ยังไม่เสื่อมคลาย

จะให้พูดว่า ดิดิเยร์ ดร็อกบา คือเครื่องหมายเกมรุกของ เชลซี มาโดยตลอดก็คงไม่ผิด.. สโคลารี่ เคยเลือกใช้งาน อเนลก้า และจับ ดร็อกบา นั่งสำรองข้างสนามจนผลงานตกต่ำมาแล้วครั้งหนึ่ง

หลายครั้งหลายหน คาร์โล อันเชล็อตติ พยายามปรับไปเล่นหน้าคู่ก็สามารถรักษาฟอร์มได้แค่เวลาสั้นๆ มิอาจยืนหยัดได้ในระยะยาว.. อันเช่เป็นกุนซือที่หัวไม่รั้น มองเห็นว่ามันไม่เวิร์คก็ต้องแก้ไข

เขียนข่าวโดย :: Petrboat
จาก ::
http://www.teenee.com


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์