ผี แชมป์แรก!อันเช่เฮเชลซีดวลเป้าคว่ำ

ผี แชมป์แรก!อันเช่เฮเชลซีดวลเป้าคว่ำ

เชลซีเกือบงานเข้าหลังพลาดท่าปล่อยให้เวย์น รูนีย์ยิงตีเสมอในช่วงทดเจ็บจนต้องมายื้อดวลจุดโทษก่อนล้างแค้นเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-1 คว้าแชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์เป็นของขวัญให้คาร์โล่ อันเชล็อตติอย่างสวยหรู

คอมมูนิตี้ ชิลด์

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2552


เชลซี 2-2 แมนฯยูฯ

(เชลซีคว้าแชมป์หลังเอาชนะในการดวลจุดโทษ 4-1)

ประตู : 0-1 นานี่ น.10,1-1 คาร์วัลโญ่ น.52,2-1 แลมพาร์ด น.71,2-2 รูนี่ย์ น.90+2


ก่อนเกมมีการไว้อาลัยให้เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสันตำนานของอังกฤษที่จากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็งโดยมีการฉายภาพเก่าๆบนจอยักษ์พร้อมเสียงปรบมือแบบนอนสค็อปนานหนึ่งนาทีไปพร้อมๆกัน

ครึ่งแรก

หลังเชลซีพยายามเคาะบอลสั้นอยู่พักนึงนาทีเศษๆแลมพาร์ดตวัดแงะบอลจากเกือบๆปีกขวาให้ดร็อกบาแตะหลบหนีปาร์ค จี ซองแล้วยิงไกล 25 หลาเบน ฟอสเตอร์ล้มตัวรับบอลกระฉอกนิดนึงแต่ไม่มีอะไร

เชลซีเริ่มต้นเกมได้ดีมากเพราะนอกจากจะเป็นฝ่ายเก็บบอลมากกว่าแล้วการไล่บีบทำเอาแนวรับยูไนเต็ดทำพลาดจ่ายคืนหลังเสียเตะมุมเองและจากจังหวะนี้เองในนาทีที่ 6 แชมป์อังกฤษเกือบตามหลังเมื่อแลมพาร์ดปั่นมาตรงระยะ 6 หลาดร็อกบาโขกเต็มๆแต่วืดบอลตกเด้งพื้นเป็นอิวาโนวิชเสือกเท้าแหย่เผาขนบอลกำลังจะเข้าอยู่แล้วแต่เอวร่าโขกเคลียร์บนเส้นบอลชนคานก่อนเพื่อนช่วยกันเคลียร์ทิ้ง

และอยู่ดีๆนาทีที่ 10 ปีศาจแดงขึ้นนำหน้าตาเฉยจากจังหวะที่เฟลทเชอร์วางยาวขวางจากปีกขวาให้นานี่ดูดบอลลงแล้วครองบอลนิ่งๆรอให้เอวร่าวิ่งเติมทางปีกซ้ายแต่กลับไม่ให้ก่อนลากตัดเข้าหน้าเขตโทษตามสไตล์แล้วตะบันเต็มข้อบอลพุ่งแหวกทะลุผ่านทั้งจอห์น เทอร์รี่และเอสเซียงทำให้เช็กมองไม่ทันบอลเสียบหน้าต่างเข้าไปไม่เหลือ จากนั้นท่าดีใจเป็นเกลียวหนึ่งรอบซอมเมอร์ซอล์ทโชว์ป๋ากันไป

นาที 16 จังหวะสวนของยูไนเต็ดเกือบเป็นประตูที่สองอีกหลังจอห์น เทอร์รี่วิ่งมาบีบถึงริมเส้นเพื่อตัดบอลที่โอเชจะจ่ายให้เบอร์บาตอฟทะลุขนานเส้นแต่เจทีล้มตัวสกัดบอลไม่ไปไหนแถมตัวเองก็ล้มอยู่ทำให้ปาร์คแตะให้เบอร์บาตอฟวิ่งควบกระชากขึ้นมาเปิดบอลย้อยตรงกรอบโทษฝั่งขวาโดยที่แนวรับเขลซีแตกขบวนทำให้รูนีย์ได้โผนโหม่งที่เสาสองชงต่อให้ปาร์คกระโดดลอยวอลเลย์บอลโดนไม่เต็มทำให้เช็กพุ่งสุดปลายมือปัดก่อนบอลนัวเนียมาตระครุบเอาตัวรอดไปได้

เกมแลกกันสนุกสุดๆจากนั้นอีก 40 วินาทีดร็อกบากระชากหนีอีแวนส์เข้ากรอบแล้วยิงด้วยซ้ายบอลไม่แรงทำให้ฟอสเตอร์ล้มตัวรับเอาไว้ได้

โหมันนส์เหลือเกินจังหวะสวนกลับมาของปีศาจแดงเกือบได้ประตูอีกหลังเบอร์บาตอฟทำชิ่ง 1-2 กับปาร์คจนหลุดเข้ากรอบแล้วเอียงตัวยิงดีดด้วยไซด์ก้อยแต่เช็กอ่านทางยื่นมือขวาบล็อกเซฟเหลือเชื่อ

นาที 27 แลมพ์อัดฟรีคิก 25 หลาติดกำแพงทำให้ตั้องมาตั้งกันใหม่เป็นแอชลีย์ โคลครอสบอลไปทางดร็อกบาตรงริมกรอบโทษฝั่งขวาก่อนที่หอกแมลงสาบจะตวัดด้วยอีซ็ายตามน้ำบอลข้ามมาเสาสองเป็นมาลูด้าที่ไร้ตัวประกบมีเวลามองบอลแล้วง้างอีซ้ายมาตั้งแต่สุราษฏร์แต่บอลกลับปลิ้นไม่เข้ากรอบ เล่นเอาอันเช่เสียดายสุดๆ

จากนั้นภาพตัดกลับมายูไนเต็ดสวนขึ้นมาอย่างรวดเร็วนานี่เปิดบอลเข้ากรอบเช็กลอยบินปัดทิ้งมาตกตรงหน้าปาร์ค จี ซองที่เอาลงแล้วยิงนอกเขตโทษด้วยอีซ้ายบอลบดหลุดข้างเสาออกไป

ผ่านมาครึ่งชั่วโมงเชลซีเกือบตีเสมอได้จากจังหวะที่โคลทิ้งตัวเปิดบอลตรงเส้นหลังบอลย้อยข้ามมาเสาสองและเหมือนไม่มีอะไรเพราะทั้งเอวร่าและคาร์ริคก็ยืนอยู่แต่เอวร่ามัวแต่รอบอลทำให้เอสเซียงโถมมาจากไหนไม่รู้ทั้งตัวก่อนโขกเต็มกบาลบอลเหินข้ามคานออกไปเอง

ตอนนี้เหล่าเร้ดอาร์มี่ชักรู้สึกแปลกๆกับเบน ฟอสเตอร์ซะแล้วเพราะการตัดสินใจยังไม่เด็ดขาดเตะบอลขึ้นมาจากการคืนหลังของเพื่อนติดบล็อกผู้เล่นเชลซีมาสองหนแล้ว

นาที 36 อเนลก้าได้บอลจากแลมพาร์ดตรงกรอบโทษฝั่งซ้ายก่อนลากหนีตัวประกบให้เข้าเท้าขวาก่อนตะบันยิงบอลพุ่งวาบแต่ริโอเอาหัวโขกสกัดเฉี่ยวคายตัวเองไปนิดเดียว

ช่วงนี้เกมรุกของยูไนเต็ดหายไปเลยและเป็นเชลซีที่บดอยู่เกือบๆข้างเดียวและนาที 40 อเนลก้ารับบอลจากแอชลีย์ โคลตรงหน้าเขตโทษก่อนตัดสินใจส่องด้วยอีซ้ายบอลติดไซด์เฉี่ยวเสาแบบน่าเข้าสุดๆ

อีก 3 นาทีต่อมายูไนเต็ดตอบโต้บ้างเมื่อลูกเตะมุมสั้นเป็นเฟลทเชอร์พลิกบอลเล่นเองแล้วปั่นไซด์จะยิงลักไกลบนเส้นโทษร้อนถึงเช็กต้องบินปัดปลายมือยอมเสียเตะมุม

ครึ่งหลัง

อันเชล็อตติมองเห็นปัญหาหลังส่งเอาโบซิงวาแทนอีวาโนวิชมาเล่นแทนและเป็นไปตามคาดที่เชลซีเป็นฝ่ายลุยเข้าใส่หมายจะเอาประตูตีเสมอให้เร็วที่สุดแต่ยังไม่มีโอกาสใกล้เคียงเลย

นาที 50 ยูไนเต็ดเกือบได้ลูกสองหลังเบอร์บาตอฟยกบอลให้นานี่โขกเช็ดตรงหน้าเขตโทษให้ปาร์คแตะต่อให้รูนีย์วิ่งแต่งแล้วอัดเต็มๆแต่ติดบล็อกกองหลังเชลซีก่อน

อย่างไรก็ตามเชลซีกลับมาตีเสมอได้อย่างง่ายดายในอีก 2 นาทีต่อมาจากจังหวะที่แลมพ์โดนรุมกินโต๊ะตรงหน้ากรอบโทษจนสุดท้ายบอลนัวเนียแล้วไปถึงมาลูด้าที่กระดกเป็นตระก้อจากฝั่งซ้ายในกรอบโทษให้ดร็อกบาโถมมาโขกชนกับฟอสเตอร์บอลเลยมาถึงคาร์วัลโญ่ที่ทิ้งตัวโขกแบบไร้ตัวประกบและไร้นายทวารเข้าไปสบายๆ เสมอแล้ว 1-1

ปีศาจแดงหันมาเล่นเกมของตัวเองและมีการปรับเปลี่ยนตัวโดยให้วาเลนเซียแทนนานี่ที่เจ็บส่วนอันเช่ส่งบัลลัคมาสู้ตรงกลางกันแล้ว

แต่เกมกลับมามีปัญหาเมื่อเอวร่าแตะบอลให้รูนีย์แล้ววิ่งทำทางหมายจะเล่น 1-2 แต่เจอบัลลัคชนแต่คริส ฟอยไม่เป่าทำให้จังหวะที่บอลเล่นต่อเป็นคาร์วัลโญ่หวดเคลียร์ตูมเดียวจากหน้าประตูตัวเองและเป็นเชลซีที่ทำเกมบุกขึ้นมากลายเป็นตัวมากกว่า 2 ต่อ 2 ก่อนเป็นดร็อกบาที่กระชากจากริมกรอบโทษทางซ้ายตัดเข้าในโดยมีโอเชตามมาแล้วไหลให้แลมพาร์ดวิ่งมายิงเต็มๆในกรอบฟอสเตอร์ล้มตัวปัดดักทางสวยแต่ด้วยความแรงทำให้เอาไม่อยู่บอลปลิ้นชนเสาค่อยๆกลิ้งข้ามเส้นเข้าไปแล้ว ผู้เล่นยูไนเต็ดนำโดยริโอและรูนีย์มาประท้วงฟอยกันใหญ่เพราะเอวร่าถูกทำฟาว์ลเลยทำให้ไม่สามารถทำชิ่งจนจังหวะเสียแต่เปลี่ยนคำตัดสินไม่ทันแล้ว

นาที 75 ป๋าเปลี่ยนตัว 4 ตำแหน่งเอากิกส์,สโคลส์,โอเว่นและฟาบิโอลงมาเพิ่มความสดแต่เล่นไปแป๊บเดียวดร็อกบาพักบอลด้วยอกแล้วเอาลงก่อนลากเลื้อยเข้ามาในเขตโทษก่อนตัดสินใจยิงเต็มๆฟอสเตอร์ล้มตัวเซฟเอาไว้ได้

10 นาทีสุดท้ายเอวร่าจ้องมานานแล้วพุ่งสไลด์ทั้งตัวใส่บัลลัคเพือแก้แค้นเอาคืนที่ทำให้ทีมต้องเสียประตู เล่นเอาสถานการณ์ครุกรุ่นจนฟอยเรียกมาให้ใบเหลือง จริงๆแล้วให้แดงเลยก็ได้แต่ฟอยถูกแข้งยูไนเต็ดรุมกดดันเหมือนกำลังจะบอกว่าก่อนหน้านี้ถูกทำฟาว์ลแต่ไม่ได้ฟาว์ลมาแล้ว

ยูไนเต็ดโหมดันกันขึ้นมาเพื่อจะเอาประตูตีเสมอแต่เชลซีเป็นเจ้าตำรับเกมรับตัวเป้งอยู่แล้วยิ่งได้อันเช่เจ้าพ่อจากดินแดนเกมรับด้วยแล้วทำให้ตอนนี้เกมไม่กระเตื้องและหยุดบ่อย

เกมเหมือนจะเป็นเชลซีที่น่าจะเช็กบิลได้ไม่ยากแต่ทดเจ็บนาทีที่ 2 ปีศาจแดงมาตีเสมออย่างเหลือเชื่อจากจังหวะที่กิกส์เก็บบอลตรงกลางสนามก่อนดีดแทงทะลุล้ำหน้าตัดหลังแอชลีย์ โคลให้รูนีย์วิ่งควบเอาบอลในเขตโทษก่อนยิงด้วยอีซ้ายหักข้ามตัวเช็กที่พุ่งล้มตัวหมายจะบล็อกก่อนที่บอลจะค่อยๆกลิ้งเข้าไปอย่างสุดคลาสสิค เสมอ 2-2 ต้องดวลจุดโทษตัดสิน

ผลการยิงจุดโทษ :

1-0 : แลมพาร์ด(เข้า)

1-0 : กิกส์(ไม่เข้า)

2-0 : บัลลัค(เข้า)

2-1 : คาร์ริค(เข้า)

3-1 : ดร็อกบา(เข้า)

3-1 : เอวร่า(ไม่เข้า)

4-1 : คาลู(เข้า)


รายชื่อนักเตะทั้งสองทีม

เชลซี :
ปีเตอร์ เช็ก,บรานิสลาฟ อีวาโนวิช(โบซิงวา น.46),ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่,จอห์น เทอร์รี่,แอชลีย์ โคล,จอห์น โอบี มิเกล(บัลลัค น.65),มิกาเอล เอสเซียง,แฟร็งค์ แลมพาร์ด,ฟลอร็องต์ มาลูด้า(เดโก้ น.78),นิโกลาส์ อเนลก้า(กาลู น.84),ดิดิเยร์ ดร็อกบา

แมนฯยูฯ : เบน ฟอสเตอร์,จอห์น โอเช(ฟาบิโอ น.76),ริโอ เฟอร์ดินานด์,จอนนี่ อีแวนส์,ปาทริซ เอวร่า,ไมเคิ่ล คาร์ริค,ดาร์เรน เฟลทเชอร์(สโคลส์ น.75),ปาร์ค(กิกส์ น.75),นานี่(วาเลนเซีย น.63),เวย์น รูนีย์,ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ(โอเว่น น.75)
































































เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์