เส้นทาง Rock & Roll






นับตั้งแต่ Bill Haley & His Comets ออกซิงเกิลที่มีชื่อว่า Rock around the clock
ในปี 1954 นั้น บทเพลงแนวใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้นมาในวินาทีนั้นเอง

กระแสของดนตรีแนวใหม่เปรียบเสมือนระเบิดลูกใหญ่ที่ทำลายวัฒนธรรมของ Jazz, Blues รวมไปถึงงานดนตรีที่บรรดาพ่อแม่ของเด็กหนุ่มสาวในยุค 50 จนพินาศสิ้น

หลังจากนั้นไม่นานก็มีบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งน่าจะถือว่าเป็นผู้ฝังรากของดนตรีแนวใหม่
ให้ก่อเกิดขึ้น นั่นก็คือ Alan Freed Father of Rock 'n Roll ชายคนนี้คือใคร...?
ชายคนนี้คือผู้ให้กำเนิดคำว่า Rock 'n Roll นั่นเอง และชายคนนี้ก็เป็นดีเจที่เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของดนตรี Mainstream ในยุค 50's จนหมดสิ้น คือรายการวิทยุ
ในยุคนั้นไม่มีการนำเพลงของคนดำมาออกอากาศ แต่ Alan ก็นำบทเพลงของคนดำ
ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมาออกอากาศสู้กับ Frank Sinatra ของพวกรุ่นใหญ่ได้อย่างเมามันส์... Little Richard, Jerry Lee Luis, Chuck Berry นั่นเอง
หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มจากเมมฟิสอีกคนก็ทำให้ดนตรี Rock 'n Roll ขึ้นสูงจนถึงจุดสุดยอด ชายหนุ่มคนนี้มีลีลาที่ไม่เหมือนใคร
บทเพลงที่ไพเราะและรูปร่างหน้าตาสุดหล่อ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Elvis Presley นั่นเอง (อย่าด่า Elvis ต่อหน้าพ่อแม่ตัวเอง
เพราะอาจโดนตบได้) ผู้ฟังเพลงอายุ 40 ขึ้นไป หากเอ่ยถึง Elvis คงไม่มีใครไม่รู้จัก หรือนึกหน้าของ Elvis ไม่ออก หรือเมื่อเอ่ยถึงบทเพลง Heartbreak Hotel, Hound Dog, Wooden Heart หรือ Can't Help Falling in Love หลายคนร้องคลอได้เลย

เค้าจากโลกนี้ไปในปี 1977 ด้วยวัยเพียง 42 ปี ซึ่งถือว่าอายุไม่มากนัก แต่หากเปรียบเทียบกับศิลปินคนอื่นๆ ในยุคนั้น เขาถือเป็นคนหนึ่ง
ที่มีโอกาสลิ้มรสชาติแห่งความสำเร็จและชื่อเสียงได้นานที่สุดคนหนึ่ง

หลังจากที่ Elvis โด่งดังจนถึงขีดสุด ซิงเกิลฮิตอันมากมายมหาศาลเพียงไรก็ตาม มันก็ถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง...

ในต้นยุค 60 ก็มีวงดนตรีอีกวงหนึ่งที่มีความนิยมไม่แพ้ Elvis เลยนั่นก็คือเด็กหนุ่มจากเมือง Liverpool ใครวะ...?
บางคนอาจจะถาม เด็กหนุ่มหน้าตาดีกลุ่มนี้ก็คือ The Beatles นั่นเอง

 





























































The Beatles
ได้สร้างปรากฏการณ์ทางดนตรี Rock อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน บทเพลงหลากหลายของ The Beatles นั้นขึ้นอันดับหนึ่งอย่างรวดเร็ว และเป็นศิลปินที่มีซิงเกิลขึ้นอันดับหนึ่งมากที่สุดในโลก สี่หนุ่มหน้าตา(โค-ตะ-ระ)หล่อ กระชากหัวใจสาวๆ มากมาย ผู้ชายอย่างเราๆ คงไม่ได้หลงไหลในหน้าตาเค้า แต่เราหลงไหล และชมชอบบทเพลงขอเค้า ฝีไม้ลายมือในการร้อง เล่นดนตรี รวมไปถึงการเขียนเพลงของเค้า อยู่ขั้น..เทพ ผมเรียว่าแบบนั้น

The Beatles ประกอบด้วย John Lennon(rhythm guitar, vocals), Paul McCartney(bass guitar, vocals), George Harrison(lead guitar, vocals), Ringo Starr(drums, vocals) ดนตรีของเค้าเป็นทั้ง Rock และ POP บทเพลงของเค้ามีทั้งการเขียนเนื้อเพลงในด้านให้กำลังใจ คติสอนใจ
มองโลกอย่างเข้าใจ อย่างบทเพลง Let it Be หรือมุมมองความรัก ผิดหวังสมหวัง เช่นบทเพลง Hey Jude, I will หรือด้านสวยงาม และด้านมืดของชีวิต หรือบางบทเพลงยังตีความได้ว่า พวกเขากำลังหลงไหลไปกับสารเสติด อย่างเพลง Lucy in the sky with diamond
 
John Lennon
จากโลกนี้ไปในปี 1980 ซึ่งมีอายุได้เพียง 40 ปี บทเพลงอมตะ Imagine หลังจากประสบณ์ความสำเร็จถึงขั้นขีดสุด The Beatles ก็วงแตก สมาชิกแต่ละคนต่างแยกย้ายไปทำงานที่ตนเองอยากจะทำ!

หลังจากนั้นไม่นานนัก สมาชิกคนนึ่งของ The Beatles ก็ได้จากโลกนี้ไป John Lennon ถูกชายคนหนึ่ง(Mark David Chapman) เหนี่ยวไกลปืน
ใส่ จะด้วยความบ้า หรืออะไรไม่ทราบได้ บางสำนักข่าวบอกว่า ชายคนนี้ทนไม่ได้ที่จะเห็น John Lennon ตกต่ำลงในด้านชื่อเสียง ดังนั้น
จึงยอมให้เขาตายไปในช่วงที่ Lennon ยังมีชื่อเสียง...ดีกว่า!
George Harrison
หลังจาก The Beatles แตก! Harrison ได้ออกมาทำเพลงแนว Rock มีอยู่หลายครั้งที่ไปแจมดนตรีกับ Eric Clapton
Harrison มีความสามารถในเครื่องดนตรี โดยเฉพาะเครื่องสาย เล่นได้ทั้ง Guitar, vocals, bass, ukulele, mandolin, sitar, sarod, keyboards
บทเพลงที่ทำให้ Harrison ประสบณ์ความสำเร็จ และเป็นที่กล่าวถึงในวงการคอ Rock คือบทเพลงชั้นยอดอย่างเพลง
While My Guitar Gently Weeps เป็นต้น เขาจากโลกนี้ไปใบปี 2001 ในวัย 58 ปี สาเหตุจากการสูบบุหรี่จัดของเค้า

ความนิยมของ The Beatles ในตอนต้นยุค 60 นั้น ก็ทำให้มีวงดนตรีอีกวงหนึ่งที่ถือว่าเป็นด้านมืดของ The Beatles ก็ว่าได้ ภาพของ The Beatles คือดนตรีแห่งสวรรค์ แต่บทเพลงของวงดนตรีอีกวงนั้นก็เป็นด้านนรกไปเลย ภาพลักษณ์อันตรงกันข้ามกับ The Beatles นั้นก็สร้างชื่อเสียง
ให้กับพวกเค้ามาจนถึงปัจจุบัน The Rolling Stones นั่นเอง...

ในช่วงยุค 60 นั้นวงดนตรีจากฝั่งอังกฤษเข้าบุกถล่มแผ่นดินอเมริกาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็เป็นสูตรสำเร็จของดนตรี ถ้าจะพิสูจน์ตัวเอง
ต้องไปดังที่อเมริกาให้ได้ กาลเวลาก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึงยุคสงครามเวียดนามระเบิดขึ้น การเรียกร้องสันติภาพ เสรีภาพระบาดรุนแรงไปทั่ว...
วงการดนตรีค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ดังบทเพลง The time they are a changin' ของ Bob Dylan ในยุค 60-70' สำหรับผู้คนในอเมริกา
มีแต่ความหวาดระแวง สงคราม การฉกชิงอำนาจ การแบ่งฝ่าย การรุกสู่ดินแดงของผู้อื่น เพียงเพื่อแสวงหาอำนาจของคนไม่กี่คน แน่นอนว่า... ประชาชนไม่เคยเห็นด้วยกับกระบวนการทางความคิดต่างๆ นั้น แต่เสียงเล็กๆ ที่ปราศจากอำนาจรัฐ ไร้ซึ่งกระบอกปืน ฯลฯ จะมีก็เพียงกีต้าร์โปร่ง บทเพลง และกวีในร้านกาแฟข้างถนน หรือไม่ก็สวนสาธารณะ ที่ไว้ระบายความอึดอัด หรือจะเรียกว่าการต่อต้านก็ตาม ประโยคคำถาม
ที่กึ่งบทกวี เช่น
- อเมริกาเมื่อไรเธอจะเป็นคนดี
- อเมริกาเมื่อไรจะยอมเปลื้องผ้า
- เมื่อไรถึงจะหันมามองตัวเองผ่านหลุมฝังศพ
- อเมริกาทำไมห้องสมุดเธอถึงร่ำไห้
- อเมริกาเมื่อไรเธอถึงจะส่งไข่ไปให้อินเดียบ้าง ฯลฯ ...

กล่าวถึงชื่อ Bob Dylan สำหรับคอเพลง Folk/Folk rock คงจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี แม้ผู้คนบางกลุ่มจะไม่สามารถเข้าถึงเพลงของเขาได้ทั้งหมด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผู้คนจำนวนมากทีเดียว ที่ยกย่องให้เขาเป็นหนึ่งในตำนานในฐานะศิลปินผู้บุกเบิกดนตรีโฟร์ค และ Bob Dylan ก็เป็นต้นแบบในหลายๆ เรื่องให้กับศิลปินรุ่นหลังๆ ได้เดินตาม ไม่ว่าจะเป็นแนวทางของดนตรี หรือว่าจะเป็นวิถีชีวิตแห่งการต่อสู้...ต่ออำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรม มีประโยคเด็ดที่ผมเคยได้ยินมานานแล้ว

อย่าถามว่าประเทศนี้จะให้อะไรกับคุณได้บ้าง แต่จงถามว่าคุณจะทำอะไรให้ประเทศได้บ้าง ...พวกนักการเมืองในยุคนี้น่าจะได้มีโอกาสฟัง และคิดตามไปด้วยก็คงจะดีไม่น้อย... สำหรับในยุค 60-70 คำนี้ถือว่าเป็นคำที่โดนใจกลุ่มนักต่อต้าน หรือเคลื่อนไหวมากที่สุด
ask not... what your country can do for you!?
but ask... what you can do for your country!?


Dylan เขาก่อตัวเป็นหัวกบฏโดยต่อต้านผ่านบทเพลงตั้งแต่ปี 1966 ซึ่งก่อนหน้านี้ Dylan ได้ตระเวนเล่นดนตรีรอบๆ New York city มาตั้งแต่
ยังไม่ได้ออกอัลบัม บทเพลงของเขามักจะพูดถึงวิถีชีวิต การต่อสู้ และการหยุดยั้งความรุนแรง เช่นบทเพลง Blowin' in the wind เป็นต้น

มีเรื่องราวว่า Bob Dylan เข้าไปพบผู้บริหารค่ายเพลงแห่งหนึ่ง เขาได้นำบทเพลง Blowin' in the wind ไปร้องต่อหน้าผู้จัดการค่ายเพลง
พอ Dylan เอ่ยประโยคว่า How many ears must one man have Before he can hear people cry? ผู้จัดการเพลงถึงกับอาการคล้ายๆ
จะหงายหลังไปเลย เขาตั้งสติพร้อมๆ กับพูดกับ Dylan ว่า เอาล่ะพอแต่นี้ ผมต้องการคุณ

บทเพลง Blowin' in the wind จัดเป็นบทเพลงที่ถูกนำมาร้องด้วยศิลปินมากมาย หลากหลายเวอร์ชั่น และหลากหลายแนวดนตรี (รวมกันแล้วอาจจะมากกว่า 10 Version) ไม่ว่าจะเป็น Folk, Jazz, Blues ฯลฯ แต่ไม่มีการ Vote ครั้งใดที่จะมีคะแนน Vote เหนือ Original version ของ Bob Dylan ได้สักครั้งเดียว

หากผมจะวิจารณ์ Dylan บ้าง ในฐานะคนชอบโฟร์ค ผมคงจะบอกว่า... บทเพลง Like a rolling stone ของ Dylan มันเหมือนตบหน้าคนโฟร์คชัดๆ แต่พอได้ฟัง Like a rolling stone หลายๆ รอบเข้า ผมบอกตัวเอง... ผมไม่คิดแบบนั้นล่ะ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เมื่อทุกๆ ครั้งที่ Dylan ได้ขึ้นเวทีจับกีต้ารไฟฟ้าก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นแฟนพันธ์แท้ Folk ก็บอกว่า... เขาทรยศดนตรีโฟร์คที่บริสุทธิ์!
ในช่วงปลายๆ ยุค 60's ก็มีการเล่นดนตรีผสมกับยาเสพติดขึ้น... Psychedelic คือคำเรียกของดนตรีแนวนี้... ซึ่งก็จะรวมไปถึง Progressive,
Acid และแนวดนตรีที่มีกลิ่นอายใกล้เคียงกัน แนวทางของดนตรีในช่วงปลายยุค 60 นั้นสร้างปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ดนตรีลูกผสม
หรือดนตรีแนวทดลองขึ้นมาอย่างกว้างขวาง... หลากหลายบทเพลงมีการนำดนตรีมาผสมกับยาเสพติดกันอย่างรุนแรง...

The Doors, The Grateful Dead, King Crimson ซึ่งก็รวมไปถึง Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band ของ The Beatles ที่หันเหไปทางดนตรีแนว Psychedelic อย่างชัดเจน ซึ่งมันก็ทำให้ดนตรี Rock ในยุคปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด กับชายผู้หนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นนักกีตาร์
อันดับหนึ่งตลอดกาล... Jimy Hendrix & The Experience

เสียงที่ Jimi Hendrix สร้างขึ้นมาทำให้เค้ากลายเป็นเทพเจ้าในชั่วข้ามคืน หลายบทเพลงของ Hendrix สร้างแรงบรรดาลใจ
ให้กับนักดนตรี Rock ในยุคต่อมาอย่างรุนแรง...
... เข้าสู่ยุค 70's กันเสียที... หลังจากการเสียชีวิตอย่างกระทันหันของ Hendrix ไปนั้น ดนตรี Rock ก็ยังไม่ถึงกาลดับสูญ...Black Sabbath
ได้นำเสียงแตกสั่น และหนักแน่นเข้ามากระแทกหูคนฟังบทพื้นพิภพนี้ เสียงที่ Black Sabbath สร้างออกมานั้นก็สร้างแรงบรรดาลใจให้กับ
นักดนตรี Rock สาย Thrash Metal, Death Metal และ Black Metal ในยุคหลังๆ ไม่มีใครปฏิเสธความยิ่งใหญ่ของ Black Sabbath ได้
ยังไม่พอ... Deep Purple ก็สร้างตำนานให้กับตัวเองด้วยเพลง Smoke on the water ที่เป็นท่อน Riff อมตะอีกบทเพลง รวมไปถึงการโซโลกีตาร์และคีย์บอร์ดอันรวดเร็วและเมามันส์ของพวกเค้าก็เป็นพื้นฐานให้ดนตรีในยุคหลังๆ ได้เป็นอย่างดี...

นี่เราต้องพูดถึงวงดนตรีอีกวงหนึ่งที่ถือว่าขึ้นหิ้งอันไม่สามารถลบหลู่ได้อีก วง... Led Zeppelin นั่นเอง... บทเพลงที่ Zep สร้างขึ้นมานั้น
รวมไปถึงเทคนิคกีตาร์ที่ Jimmy Page สร้างขึ้นมาก็เป็นแรงบรรดาลใจให้กับนักดนตรี Rock ในยุคหลังๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องคิดอะไร
ฟังแค่ Stairway to heaven ที่ถือว่าเป็นบทเพลงชาวเมทัลทั้งหลายทั้งปวง...

หรืออย่างบทเพลง Black Dog ก็สุดแสนจะจัดจ้านด้วยเสียงกีต้าร์ของ Jimmy Page ที่ผสมอย่างลงตัวไปกับเสียงกรีดร้องของ Robert Plant แล้วอย่าลืมฟังเพลง Rock 'n Roll ด้วยนะ เพราะจากประสบการณ์เข้า PUB rock, ไม่มีร้านไหน หรือวงแสดงสดวงไหน จะไม่เล่นนี้เลย!
หลายคนวิจารณ์ว่า Led Zeppelin เป็นทั้ง Hard rock, Heavy Metal, Blues-Rock, Folk Rock นับเป็นวงเชื่อสาย English อีกวงที่เป็นสุดยอด
และเป็นตำนาน ตั้งแต่ยุคต้น 70 ถึงปัจจุบัน
 
มันยังไม่จบหรอกนะ Michael Schenker แห่งตำนาน UFO ก็สร้างเสียงกีตาร์ของตัวเองออกมาบ้าง Rock Bottom นั้นเปรียบเสมือนระเบิดที่ทำให้วงการดนตรี Rock เปลี่ยนไป... ขอข้ามแนวจาก Hard Rock มายังอีกแนวเพลงนึงที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง

นั่นก็คือบทเพลงที่พัฒนามาจากแนว Psychedelic นั่นก็คือ Progressive Rock นั่นแหละ... ความซับซ้อนทางดนตรี รวมไปถึงความเป็นอัจฉริยะของนักดนตรีที่สร้างบทเพลงแห่งความล่องลอยและตำนานการติดบิลบอร์ดอันยาวนานของ Dark Side of The Moon โดยศิลปิน Pink Floyd นั้นยังหาใครมาทาบรัศมีได้เลย...

ยังมีผู้ใดที่เคลือบแคลงความยิ่งใหญ่ของพวกเค้าอีกไหมถ้ารู้ว่าเค้าสามารถขายงานได้ 250 ล้านแผ่นทั่วโลกเนี่ย...? Progressive Rock แม้อาจจะฟังได้ไม่มันเร้าใจอย่าง Heavy Rock หรือ Hard Rock ที่สิ่งที่มันมีมากกว่าก็คือ เสน่ห์ ที่หาไม่ได้ง่าย และถ้าคุณเข้าใจ และเข้าถึงคำว่า Progressive Rock เมื่อใด คุณจะหลงรัก Progressive Rock ชนิดหัวหกก้นขวิด และคุณอาจจะรัก Pink Floyd อย่างที่ผู้เขียนรู้สึก
ผมอยากจะให้ลองหาเพลงของ Pink Floyd มาฟัง ดังนั้นจึงขอแนะนำสำหรับมือใหม่(หัดฟัง) ให้หาเพลงอย่าง ANOTHER BRICK IN THE WALL, HEY YOU, IN THE FLESH, TIME, COMFORTABLY NUMB สำหรับเพลงนี้ผมชอบเทคนิคการแชร์กันร้องระหว่าง
David Gilmour (มือกีต้าร์และร้อง) and Roger Waters (มือกีต้าร์เบส และร้อง)

และอย่าลืมฟังให้ได้กับเพลง...WISH YOU WERE HERE ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งเพลงที่ยอดเยี่ยม และเป็นเพลงในไม่กี่เพลงของ Pink Floyd
ที่นำเอาอะคูสติคกีต้าร์มาเป็น ท่อน Intro ของเพลง ตัวโน๊ต สำเนียง ลูกเล่นท่อนสไลด์ด้วยกีต้าร์อะคูสติกเป็นเสน่ห์พอๆ กับท่อน Intro นั่นล่ะ

คุณอาจจะได้ยินเสียงนาฬิกา คนตะโกน เสียงเคาะนั้นเคาะนี่ หรืออาจจะเป็นเสียงอะไรที่คุณไม่สามารถเดาออก!?
นั่นล่ะ Progressive Rock ในแบบ Pink Floyd
Pink Floyd นอกจากจะทำเพลงได้แปลก และแหวกแนวยุค 70 ทั่วไปแล้ว เขายังเป็นนักจัดฉาก...ตัวยงอีกด้วย
การแสดงสดของเขา เต็มไปด้วยกราฟิก ที่จัดฉากหลังได้อย่างสุดยอด เช่นบทเพลง ANOTHER BRICK IN THE WALL ถ้ามีการจัดอันดับ
เพลงร็อคทีดีที่สุดมาสัก 10 เพลง ผมคงต้อง Vote ให้กับเพลงนี้ด้วยเป็นแน่ๆ

หลายบทเพลงที่เรา และคุณอาจจะสามารถเข้าใจได้ว่า เพลง....นั้น กำลังจะสื่อ หรือบอกอะไรกับเรา แต่อย่าสนใจมันเลย เพราะอาจจะทำให้คุณเครียด แต่ถ้าคุณรู้ก็อย่าลืมแบ่งบันสิ่งที่คุณรู้ด้วยนะครับ เพราะมีหลายๆบทเพลงที่ผมอยากรู้ แต่ไม่สามารเข้าใจได้ มีหลายเพลงที่ผมเข้าใจว่าเป็นปรัชญา หรือมองได้หลายๆมิติ หรือบางเพลงเป็นการเขียนขึ้นในช่วงเวลา ณ เวลาหนึ่งที่เหตุการณ์เกิดขึ้น ณ ตอนนั้น เราจึงไม่สามารถเข้าใจได้ ...อาจจะเป็นเช่นนั้น!
ดนตรีในยุค 70's ก็มีความหลายหลาย และมนต์เสน่ห์เพียงไร ถ้าเราได้ฟังงานสุดคลาสสิคของ The Eagles ที่นำเสียงของ Hard Rock
เข้ามาผสมกับ Southern Rock กันอย่างลงตัวกับบทเพลง Hotel California วงดนตรีวงนี้ ถือว่าเป็นวงหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดวงหนึ่งในยุค 70' ทั้งแนวเพลงและสมาชิก แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผลงานของเขาทุกๆ อัลบัม ก็ล้วนแล้วแต่มีความไพเราะ มีความสมบูรณ์ ยอมเยี่ยมอยู่เสมอๆ

ทุกๆ ครั้งที่เราเปิดเพลงอย่าง Witchy Woman เราได้ยินถึงความเป็น Rock ชั้นเยี่ยม ทุกๆ ครั้งที่เราเปิดเพลงอย่าง Doolin-Dalton เราได้ยินถึงความสมบูรณ์แบบของการผสมผสานระหว่าง HARD & Southern Rock ทุกๆครั้งที่เราเปิดเพลงอย่าง Take it Easy เราได้ยินถึงความสวยงามของดนตรี FOLK ROCK หรือทุกๆ ครั้งที่เราได้ฟังเพลงอย่าง Hotel California มันคือ มหากาพย์ของดนตรี ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
และยังมีอีกหลายๆ เพลงที่ทำให้เราเข้าใจว่า The Eagles ทำไมถึงบินสูง ชนิดเรียกว่า ติดลมบน ทางดนตรี
ดนตรีที่เรียกกันว่าหัวก้าวหน้าในยุค 70 นั้น เราจะลืม Queen ราชันต์ในนามราชินี กับบทเพลง Bohemian Rhapsody ซึ่งเป็นบทเพลง
ที่เต็มไปด้วยพลัง เป็นบทเพลงแบบโอเปราร็อกที่ยอดเยี่ยมที่สุด นอกจาก Bohemian Rhapsody ที่เป็นงานคลาสสิคสุดๆ นี้แล้ว ยังมีบทเพลง
ชั้นยอดอย่าง... we will rock you, play the game, save me, killer queen, bicycle race, Another one bites the dust, Dont stop me now, crazy little thing called love, love of my life, play the game และบทเพลงที่ทุกๆ คนรู้จัก และต้องเคยได้ยินมาก่อนอย่างแน่นอน (ถึงแม้ว่าจะไม่รู้จัก queen).
นั้นคือบทเพลง.... We are the champions,

Freddie Mercury ร้องนำ และยังเล่นคีย์บอร์ดได้อย่างเจ๋งอีกด้วย, Brian May เล่นกีตาร์ สำเนียงกีต้าร์ของเค้ามีมีเอกลักษณ์ชัดเจน
อาจจะเรียกได้ว่า เวลาที่เราได้ยินเสียงกีต้าร์โซโล เราสามารถฟังได้อกเลยว่าสำเนียงแบบนี่ล่ะ ที่ใช่! John Deacon เล่นเบสและ Roger Taylor เล่นกลอง เค้าตัวเล็กแต่ตีได้ใจผมจริงๆ และน่าเสียหายในปี 1991 วันที่ 24 พฤศจิกายน วงการเพลงต้องสูญเสียนักร้องคุณภาพไปอีกคน, Freddie Mercury เสียชีวิตด้วยโลกเอดส์!

หลังจากนั้นสมาชิกที่เหลือก็ต้องทางใครทางมัน Freddie...เขาคือ ตำนานจริงๆ ทุกๆวันนี้เวลาที่ได้ฟังเพลงของเค้า เวลาที่ได้ยินเสียงของ Freddie ทำให้อดคิดถึงเค้าขึ้นมาจับใจจริงๆ

Love of my life can't you see,
Bring it back, bring it back, Don't take it away from me, because you don't know, what it means to me.

บทเพลง Love of my life จะฟังด้วยเวอร์ชั่น Acoustic Guitar หรือ Keyboard มันก็ชวนฝันทั้งนั้นครับ
ส่วนตัวผมชอบเวอชั่นที่ Brian May เอาโอเวชั่น 12 สายมาเล่น Picking ผมขอใช้คำว่า เจ๋งโคตะระ แล้วกันนะครับ

ส่วนอีกเพลงที่บางท่านอาจจะไม่เคยฟัง และผมอยากจะให้คุณลองกลับไปค้นหาฟังดู ผมว่ามันเป็นเพลงหนึ่งที่สมบูรณ์ และฟังได้ไม่เบื่อ ไพเราะมากๆครับ กับเพลง Made In Heaven อยู่ในอัลบัม In Heaven อัลบัมนี้ออกวางแผงในปี 1995 หลังจากที่ Freddie เสียชีวิต
ย้อนเวลาไปช่วงต้นๆ 70 กันอีกครั้งนะ Neil Young & The Crazy Horse, ส่วนตัวเองไม่ค่อยชอบให้ลุง Neil Young ขึ้นเวทีเพื่อโซโลก้าร์
เสียงแตกๆกับ The Crazy Horse สักเท่าไร ผมชอบ Neil Young ในแบบยุคต้น 70 มากกว่า ภาพลุง Young ถืออะคูสติคกีต้าร์
ปากเป่าเม้าออแกน ดูเข้ากับลุงแกมากกว่า

Neil Young ถือเป็นนักดนตรีรุ่นใหญ่อีกคนหนึ่งในวงการเพลง เค้าเริ่มมีชื่อเสียงในยุคต้น 70 เค้าเป็นชาว Canadian
มีความสามารถด้านดนตรี ทั้งร้อง เล่นอะคูสติคกีต้าร์ กีต้าร์ไฟฟ้า Harmonica Banjo และ Piano เล่นทั้ง Rock, Folk, Folk Rock, Hard Rock หลายคนรู้จักเพลง Heart Of Gold มีท่วงทำนองที่ฟังง่าย ติดหูง่าย หรือเพลงที่แสดงให้รู้ว่า Neil Yong มีความสามารถในด้านเพลง Rock
อย่างเพลง Southern Man ที่ทำไว้อย่างยอดเยี่ยม หรืออย่างเพลง Old Man ที่ฟังทีไรไม่เบื่อ

Neil Young มีโอกาสได้ร่วมงานกับศิลปินรุ่นน้อง และรุ่นเพื่อนมากมาย ตั้งแต่สมัยทำวง Buffalo Springfield กับ Stephen Still ตลอดจนมาถึงช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเค้าอีกครั้งกับการทำเพลงกับ Crosby Still & Nash โดยร่วมกันทำเพลงภายใต้ชื่อวง Crosby Still Nash & Young
หรือ CSNY ซึ่งนับเป็นวงประสานเสียงที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกวงหนึ่งการรวมตัวของเค้าทั้งสี่คน อาจจะเรียกได้ว่า เป็นการผสมผสานที่ลงตัวที่สุด
สื่อบางฉบับในต่างประเทศใช้คำนิยามกับพวกเขาว่า Super group สำหรับวงนี้ มีความเป็นมา ที่เรียกว่า ต่างคนต่างที่มา มีความหลากหลาย

David Crosby ผู้บุกเบิกยุค The Byrds
Stephen Still หัวเรี่ยวแรงใหญ่ของ ทำให้ดนตรีของ Buffalo Springfield เต็มไปด้วยพลัง
Graham Nash ผู้สร้างสำเนียงอันไพเราะให้ The Hollies
Neil Young ทำให้ Buffalo Springfield โดดเด่นเต็มไปด้วยพลังของดนตรี Rock
Graham Nash, Stephen Still, Neil Young and David Crosby  (CSN&Y)
 
ตามความเป็นมา Crosby มาพบกับ Nash ก่อนที่จะมาเจอกับ Still และ Young แต่ก่อนที่จะมี Neil Young มาแจม ทั้ง Crosby Still Nash
ได้ร่วมกันทำอัลบัมเพลงออกมา 1 ชุด ใช้ชื่อว่า Crosby Still Nash คือในต้นปี 1969 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จทีเดียว บทเพลงอย่าง
Marrakesh express, Suite - Judy blue eyes สามารถติดอันดับอยู่ใน Billboard ได้ไม่ยาก หรือบทเพลงอย่าง Helplessly Hoping ก็เป็นอีกบทเพลงที่ยอดเยี่ยม

ในต้นปี 1970 CSN รับเอา Neil Young เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิก ภายใต้ชื่อ CSNY กับการเปิดตัวอัลบัม Déjà Vu :Neil Young เข้ามารับหน้าที่ร้องนำ/ประสาน และกีต้าร์

ไว้ครั้งหน้าจะมาเล่าต่อ ว่าหลังจากยุค 70's หรือระหว่างยุค 70's ก่อนข้ามผ่านมายัง 80's ยังมีอะไรน่าสนใจบ้างสำหรับวงการเพลง

สวัสดีครับ

By Acousticthai


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์