เขาชื่อเวนเกอร์

ฟุตบอลลีกต่างๆ ของยุโรปงวดเข้ามาเต็มทีแล้ว

แต่การลุ้นแชมป์ในลีกดังๆ อย่างพรีเมียร์ชิพ บุนเดสลีกา ลา ลีกา ดูจะยังเปิดกว้างอยู่

โดยเฉพาะพรีเมียร์ชิพ ที่แมนฯยู-ลิเวอร์พูล-เชลซี มีโอกาสสอดแทรกได้ทุกทีมในการแข่งขันโค้งสุดท้าย

ส่วน "ปืนโต"อาร์เซนอล แม้จะอยู่ในข่าย แต่การไปแอบลุ้นยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก น่าจะมีโอกาสมากกว่า

แต่ถึงอย่างไร อาร์เซน เวนเกอร์ ก็ยังน่าจะได้รับคำชมอยู่ดี

สามารถพาอาร์เซนอล เข้ารอบ 4 ทีมสุดท้าย ศึกแชมเปียนส์ลีก เอฟเอ คัพ ก็ถึงรอบตัดเชือก ในขณะที่พรีเมียร์ชิพก็น่าจะได้โควตาไปเตะยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก

ด้วยขนาดทีมที่เล็กกว่าบรรดา "บิ๊ก" ทีมอื่น การก้าวมาถึงจุดนี้ได้นับว่าไม่ธรรมดา

หนังสือพิมพ์ "ไทมส์" ฉบับวันอาทิตย์ที่ผ่านมาจับเข่าคุยกับกุนซือชาวฝรั่งเศส พร้อมกับตั้งข้อสงสัยว่า ท่ามกลางความกดดันที่รายล้อม ทำไมจึงสามารถรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้

คำตอบที่เวนเกอร์มีให้ก็คือ เปล่าเลย

"เราทั้งหมดล้วนแต่มีด้านมืด คุณไม่สามารถทำงานเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลได้หรอก ถ้าไม่รู้จักความโกรธ ตัวผมเองมีอารมณ์โกรธทุกวัน แต่หลังจากคุณพบว่าอารมณ์ขุ่นเคืองมันไม่ได้ส่งผลดีอะไรกับคุณเลย คุณก็จะพบคำตอบว่า คุณต้องเรียนรู้ที่จะต้องควบคุมตัวเองให้ได้"

จะมืดหรือสว่าง จึงไม่สำคัญเท่ากับใจตัวเอง ว่ากันอย่างนั้น

แต่ถามว่าเวนเกอร์ สามารถคุมตัวเองได้ดีแล้วหรือ คำตอบก็คือไม่

กุนซืออาร์เซนอล บอกว่า หนึ่งในคำถามที่สร้างความขุ่นข้องให้กับเขามาหลายครั้งแล้วก็คือ ทำไมถึงไม่ยอมจ่ายเงิน 30, 40 หรือ 50 ล้านปอนด์ เพื่อซื้อนักเตะระดับ "บิ๊กเนม" มาร่วมทีมเหมือนทีมอื่น

เพราะปรัชญาการทำทีมของเขา "เงิน" ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด

ทีมฟุตบอลที่ดีสามารถประสบความสำเร็จได้หากมีวิธีการจัดการที่ดี ไม่จำเป็นต้องใช้เงินหว่านสำเร็จแต่เพียงอย่างเดียว

ออกจะขวางโลกไปหน่อย แต่เวนเกอร์ ก็ทำงานเช่นนี้มาตลอด

เทียบกับผู้จัดการทีมคนอื่นๆ ในระดับทีม "บิ๊กโฟร" ด้วยกันแล้ว เวนเกอร์ ใช้จ่ายเงินซื้อนักเตะน้อยที่สุด

แต่ก็ปลุกปั้นนักเตะระดับโลกหลายต่อหลายคนไม่ว่าจะเป็น พาทริก วิเอร่า, นิโคลาส์ อเนลก้า, เชส ฟาเบรกาส และ เธียร์รี่ อองรี

เพียงแต่ว่า ในโลกของฟุตบอลวันนี้ที่ให้ความสำคัญกับความสำเร็จแบบชั่วข้ามคืนมากกว่า

เวนเกอร์ จะยืนยันในหลักการเดิมไว้ได้นานแค่ไหนกัน

คำถามนี้ น่าคิดนะ