สุดยอดตำนานดาวเตะหมาเลข10

.






src=http://blog.siamsport.co.th/GSPORTCLUB/images/1004280228358a.jpg



10. ไมเคิ่ล เลาดรุ๊ป


อิวาน ซาโมราโน่ อดีตหัวหอกทีมชาติชิลี ตั้งฉายาให้ เลาดรุ๊ป ว่า เอล เจนิโอ หรือ อัจฉริยะ เมื่อครั้งที่ทั้งคู่เซิ้งแข้งให้ เรอัล มาดริด ด้วยกันในยุคกลางทศวรรษที่ 90 ทว่าที่จริงแล้ว อดีตดาวเตะทีมชาติเดนมาร์ก โด่งดังสุดขีดในช่วงที่ค้าแข้งกับ บาร์เซโลน่า หลังย้ายจาก ยูเวนตุส เข้าสู่รัง คัมป์ นู ในปี 1989 เลาดรุ๊ป ก็สำแดงอิทธิฤทธิได้อย่างร้ายกาจภายใต้การนำทัพของ ยอดกุนซือ โยฮัน ครัฟฟ์ เขาเป็นส่วนหนึ่งของ บาร์ซ่า ชุดดรีมทีม ซึ่งคว้าแชมป์ ลา ลีกา 4 สมัยติดต่อกันระหว่างปี 1991-1994 รวมทั้งชุดแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ปี 1992 จากนั้นในปี 1994 เขาก็มีเรื่องไม่ลงรอยกับ ครัฟฟ์ และสร้างความตื่นตะลึงตึง ตึง ด้วยการย้ายข้ามฟากไปอยู่กับ อริตัวเอ้ อย่าง เรอัล มาดริด ซะงั้น แถมยังเป็นการย้ายที่ถูกต้องเสียด้วยเพราะมันทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกใน ประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์ ลา ลีกา ได้ถึง 5 สมัยรวดกับ 2 สโมสรที่แตกต่างกัน








   

src=http://blog.siamsport.co.th/GSPORTCLUB/images/1004283748357a.jpg


9. โรนัลดินโญ่


โรนัลดินโญ่ มีลูกเล่นแพรวพราวยิ่งกว่าพ่อมดเมอร์ลิน เขาเริ่มต้นชีวิตค้าแข้งบนเวทียุโรปกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในฐานะดาวรุ่งอายุ 21 ปี ซึ่งย้ายมาจาก เกรมิโอ แต่ เหยิน(ไม่)น้อย ต้องรอจนกระทั่งปี 2003 หรือ เมื่อเขาย้ายไปเล่นให้ บาร์เซโลน่า ชีวิตนักเตะจึงพุ่งขึ้นสู่จุดสุดยอด 5 ปีในรัง คัมป์ นู โรนัลดินโญ่ กระหน่ำไป 70 ประตูจาก 145 เกม และคว้าแชมป์ ลา ลีกา มาครอง 2 สมัย แถมด้วยถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 1 ใบ ซึ่งมันยังทำให้เขาได้รับรางวัลเกียรติยศส่วนบุคคลตามมาอีกเพียบ รวมทั้งการคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลก และยุโรปติดต่อกัน 2 สมัยด้วย นอกจากความสำเร็จในระดับสโมสรแล้ว ดินโญ่ ยังประสบความสำเร็จอย่างสูงในเวทีระดับชาติ เมื่อเขาพา บราซิล ครองแชมป์โลกได้สำเร็จใน เวิลด์ คัพ 2002 และเป็นผู้ยิงประตู ซึ่งพุ่งเข้าตัดขั้วหัวใจแฟนบอลชาวเมืองผู้ดีทั้งประเทศในรอบ 8 ทีมสุดท้าย








   

src=http://blog.siamsport.co.th/GSPORTCLUB/images/1004282038355a.jpg


8. เฟเรนซ์ ปุสกัส


ตำนานดาวเตะฮังการี สร้างชื่อในบ้านเกิดเป็นเวลา 15 ปี ด้วยการกระหน่ำไปถึง 352 ประตูจากการลงสนาม 341 เกม ในวัยปาเข้าไปถึง 31 ปุสกัส ยังอุตส่าห์ได้รับความสนใจจาก เรอัล มาดริด และย้ายไปยัง เบร์นาเบว เมื่อปี 1958 โดยแม้จะขึ้นชื่อว่า เป็นนักเตะรุ่นเสือเฒ่า แต่เสืออย่างปุสกัสก็ยังลายพร้อย เมื่อเขาซัดแฮตทริกไปถึง 4 หนในซีซั่นแรกกับ ราชันชุดขาว แถมยังยิงได้ในระดับ 20 ตุง หรือ มากกว่า ตลอด 6 ฤดูกาลแรกใน ลา ลีกา อีกต่างหาก เขาคือนักเตะระดับเสาหลักของ เรอัล มาดริด ชุดครองเจ้าลูกหนังแดนกระทิง ด้วยการคว้าแชมป์ลีก 5 สมัยรวดระหว่างปี 1961-1965 และคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ อีก 3 สมัย ส่วนสถิติในทีมชาติของ ปุสกัส ก็น่าประทับใจไม่แพ้กันโดยกดไปถึง 84 ประตูจาก 85 นัด แหม เก่งอย่างนี้ต่อให้เป็น กัปตันซีบาสะ ก็ยังต้องชิดซ้ายเลยนะเนี่ย










   

src=http://blog.siamsport.co.th/GSPORTCLUB/images/1004283778354a.jpg


7. โรแบร์โต้ บาจโจ้


ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่า เป็นนักเตะที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่ ฟิออเรนติน่า เคยมีมา แต่ช่วงเวลาทองในอาชีพค้าแข้งของ บาจโจ้ กลับเกิดขึ้นที่ ยูเวนตุส เทพบุตรเปียทองคำ คว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ กับ ยูเว่ ในปี 1993 รวมทั้งคว้าแชมป์ เซเรีย อา กับ โคปปา อิตาเลีย ในปี 1995 เขายิง 78 ประตู จากการลงสนาม 141 เกม ตลอดช่วงเวลา 5 ปี ในตูริน ก่อนตัดสินใจย้ายไปเล่นให้กับ เอซี มิลาน ผลงานกับ ทีมชาติอิตาลี ในฟุตบอลโลก พิสูจน์ให้เห็นว่า บาจโจ้ คือหนึ่งในสุดยอดเพลย์เมกเกอร์ในเจเนอเรชั่นของตัวเองอย่างแท้จริง โรบี้ ยิงประตูที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดใน อิตาเลีย 90 ใส่ เช็กโกสโลวะเกีย และเป็นผู้แบกอัซซูรี่ชุดที่แทบจะไม่มีอะไรเลยไปจนถึงนัดชิงฯ ฟุตบอลโลก 1994 แม้จะยิงจุดโทษพลาดจนทำให้ถ้วยฟีฟ่าตกไปอยู่ในมือของ บราซิล ก็ตาม








   

src=http://blog.siamsport.co.th/GSPORTCLUB/images/1004282088353a.jpg



6. เดนนิส เบิร์กแค้มป์


หลังสร้างชื่อกับ อาแจ็กซ์ ด้วยผลงาน 103 ประตูใน 185 เกม และไปตกอับอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน นาน 2 ปี เบิร์กแค้มป์ ก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือมาอยู่กับ อาร์เซน่อล ซึ่งทำให้อาชีพนักเตะของเขากลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์อีกครั้ง ดิ ไอซ์เบิร์ก ย้ายเข้าสู่ ไฮบิวรี่ ในปี 1995 และเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของ เดอะ กันเนอร์ส ไปอย่างสิ้นเชิง เขาใช้เวลาอยู่ในลอนดอนนาน 11 ปี จนได้รับการยอมรับว่า เป็นหนึ่งในสุดยอดนักเตะของวงการลูกหนังยุคใหม่ เบิร์กแค้มป์ ทำให้ทุกอย่างดูง่ายไปเสียหมด เธียร์รี่ อองรี เคยกล่าวถึงรุ่นพี่ร่วมสำนัก ไอ้ปืนใหญ่ ว่า เดนนิส คือนักเตะที่เก่งที่สุดเท่าที่ผมเคยเล่นด้วย มันเป็นความฝันของกองหน้าทุกคนที่จะมีเขาอยู่ในทีม ขณะที่ เอียน ไรท์ ให้คำจำกัดความถึง เบิร์กแค้มป์ สั้นๆว่า เมสไซอาห์ หรือ พระผู้มาโปรดของเหล่ากูนเนอร์สทั้งมวล เบิร์กแค้มป์ ไม่ได้เก่งแค่ทำทางให้เพื่อนเท่านั้น แต่เขายังยิงประตูได้อย่างเฉียบขาดด้วย เขาคว้าถ้วยแชมป์กับ อาร์เซน่อล ได้ถึง 11 ใบ รวมถึงการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ลีก กับ เอฟเอ คัพ 2 สมัยด้วย จากการเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดไร้พ่ายเมื่อปี 2004 ทำให้ เบิร์กแค้มป์ กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ อาร์เซน่อล ไปเรียบร้อยแล้ว








     

src=http://blog.siamsport.co.th/GSPORTCLUB/images/1004286778352a.jpg


5. มิเชล พลาตินี่


ความสามารถในการอ่านเกม และกำหนดจังหวะการเล่นอันไร้เทียมทานของ พลาตินี่ ทำให้เขากลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของทีมทั้งในระดับสโมสร และทีมชาติ นโปเลียนลูกหนัง เริ่มสร้างชื่อกับ น็องซี่ และแซงต์ เอเตียน ก่อนจะย้ายไปยิ่งใหญ่กับ ยูเวนตุส ในเวลาต่อมา เขาพา ยูเว่ คว้าแชมป์ เซเรีย อา 2 สมัย และยูโรเปี้ยน คัพ อีก 1 สมัย โดยเป็นผู้ยิงประตูปลิดชีพ ลิเวอร์พูล ในเกมชิงดำที่สังเวียนนรก เฮย์เซล เมื่อปี 1985 นอกจากนี้ พลาตินี่ ยังเคยได้แชมป์ คัพ วินเนอร์ส คัพ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์คัพ และอินเตอร์คอนทิเนนทัล คัพ ระหว่างื้ยังเล่นอยู่ในตูรินด้วย เขาคว้าตำแหน่งดาวยิงสูงาดของ เซเรีย อา ได้ 3 สมัย และคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปได้ 3 สมัยเช่นกัน แต่ที่สุดของที่สุดของ พลาตินี่ ก็คือการพา ฝรั่งเศส เถลิงบัลลังก์แชมป์ยุโรปในปี 1984 โดยซัดไปถึง 9 ประตูใน 5 เกม








   

src=http://blog.siamsport.co.th/GSPORTCLUB/images/1004282678351a.jpg



4. ซิเนดีน ซีดาน


ซิซู เข้ามาปลุกฟุตบอลอิตาลีให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง หลังย้ายจาก บอร์กโดซ์ ไปอยู่กับ ยูเวนตุส เมื่อปี 1996 และคว้า สคูเด็ตโต้ ได้ตลอด 2 ซีซั่นแรกกับ เจ้าม้าลาย จากนั้น ความสำเร็จในระดับชาติก็ตามมา เมื่อ ซีดาน ร่ายมนต์แข้งช่วยให้ ฝรั่งเศส ผงาดขึ้นครองแชมป์โลกครั้งแรก และครั้งเดียวใน ฟร้องซ์ 98 ตามติดด้วยแชมป์ ยูโร 2000 ซึ่ง จอมทัพหัวไข่ดาวกระเพราไก่ ยังคงเป็นพระเอกของทัพ ตราไก่ เหมือนเดิม เขาคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่า 2 สมัย ก่อนจะย้ายไปเล่นให้ เรอัล มาดริด และกลายเป็นนักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลกเมื่อปี 2001 ที่ เบร์นาเบว เขาพาขุนพลชุดขาว คว้าถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้สำเร็จตั้งแต่ซีซั่นแรก ด้วยการส่งลูกวอลเลย์ด้วยอีซ้ายพุ่งกระแทกตาข่าย เลเวอร์คูเซ่น ในนัดชิงชนะเลิศ ซึ่งยังคงได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในประตูที่สวยที่สุดตลอดกาลของ ยูซีแอล มาจนกระทั่งปัจจุบัน จากนั้น ซีดาน ก็คว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของโลกมาครองเป็นสมัยที่ 3 ซึ่งมีเพียงตัวเขา และโรนัลโด้ ของ บราซิล เท่านั้น ที่เคยทำได้ อย่างไรก็ตาม ซีดาน ปิดฉากอาชีพได้ไม่สวยนัก เมื่อเขาถูกไล่ออกในนัดชิงฯ ฟุตบอลโลก 2006 จากการปล่อยเฮดบัตต์ใส่ มาร์โก มาเตรัซซี่ กองหลังแข้งโหด ของ อิตาลี ซึ่งคว้าแชมป์โลกไปครองได้ในท้ายที่สุด หลังชนะในการดวลเป้า








   

src=http://blog.siamsport.co.th/GSPORTCLUB/images/1004282638349a.jpg



3. โยฮัน ครัฟฟ์


ครัฟฟ์ อาจเป็นตัวเลือกที่หลายคนรู้สึกแปลกใจเพราะเขาไม่ใช่เพลย์เมกเกอร์เสียเลยที เดียว จากการที่สามารถเล่นได้หลายตำแหน่งในแผงมิดฟิลด์ และในแดนหน้า ทำให้ ครัฟฟ์ คือนิยามของคำว่า โททัล ฟุตบอล อย่างแท้จริง ครัฟฟ์ เป็นนักเตะที่เปี่ยมไปด้วยเทคนิค และอันตรายสุดๆหน้าปากประตู เขาซัดไปถึง 33 ประตูในการลงสนาม 48 นัดให้ ฮอลแลนด์ ชั้นเชิงลูกหนัง ความเร็ว สปีดต้น และการลากเลื้อยระดับสุดยอด คือคุณสมบัติที่โดดเด่นของ ดาวเตะเทวดา แต่สิ่งที่ทำให้เขาต่างจากคนอื่นๆคือการมองเกม เขาคว้าแชมป์ลีก 8 สมัยใน 9 ปีกับ อาแจ็กซ์ ก่อนย้ายไปเล่นให้ยักษ์ใหญ่อย่าง บาร์เซโลน่า ในปี 1973 และพา อาซูลกราน่า คว้าแชมป์ลีกสมัยแรกนับตั้งแต่ปี 1960 ได้สำเร็จในซีซั่นแรกที่ คัมป์ นู ครัฟฟ์ ปิดฉากอาชีพนักเตะด้วยการคว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปได้ถึง 3 สมัย แถมยังเคยคิดลูกเล่นในสนามด้วยตัวเอง ซึ่งยังคงเป็นที่น่าประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้








   

src=http://blog.siamsport.co.th/GSPORTCLUB/images/1004289458335a.jpg



2. ดีเอโก้ มาราโดน่า


หลังสร้างชื่อจนโด่งดังในบ้านเกิด ฟอร์มในฟุตบอลโลก 1982 ก็ส่งให้ มาราโดน่า ได้ย้ายไปเล่นให้ บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดของโลกในสมัยนั้น แต่ช่วงเวลาของเขาในสเปนกลับถูกทำให้หมองหม่นด้วยปัญหาบาดเจ็บ และความไม่ลงรอยกับโค้ช จนทำให้เขาถูกเซ้งต่อให้ นาโปลี ด้วยค่าตัว 6.9 ล้านปอนด์ ในอีก 2 ปีถัดมา มาราโดน่า พุ่งขึ้นสู่จุดสุดยอดในอาชีพนักเตะด้วยการพา อัซซูร่า คว้าแชมป์ เซเรีย อา ในปี 1987 และ1990 ซึ่งเป็นแชมป์ลีกสูงสุดเพียง 2 ครั้งในประวัติศาสตร์สโมสร ในระดับชาติ มาราโดน่า พา อาร์เจนตินา เถลิงแชมป์โลกในปี 1986 ด้วยฟอร์มการเล่นขั้นเทพ โดยยิง 5 ประตู และใส่พานให้เพื่อนกระทุ้งตาข่ายอีกนับไม่ถ้วนตลอดทัวร์นาเมนต์ ในเกมรอบก่อนรองชนะเลิศ กับ อังกฤษ มาราโดน่า กลายเป็นทั้งเทวา และซาตาน เมื่อเขาใช้มือ ซึ่งอ้างว่าเป็น หัตถ์พระเจ้า ในภายหลัง พังประตูให้ ฟ้าขาว ขึ้นนำ 1-0 ก่อนจะยิงประตูที่ว่ากันว่าสวยงามที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังด้วยการลาก เดี่ยวจากระยะ 60 เมตรผ่าน 4 นักเตะเมืองผู้ดีเข้าไปส่องผ่านมือ ปีเตอร์ ชิลตัน ในอีก 4 นาทีถัดมา อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูงในเส้นทางนักเตะ แต่อาชีพของเขากลับต้องมาพังเพราะยาเสพติด ซึ่งยังทำลายภาพลักษณ์อัจฉริยะลูกหนังของ เสือเตี้ย จนแทบไม่เหลือชิ้นดีอีกด้วย








   

src=http://blog.siamsport.co.th/GSPORTCLUB/images/1004282128334a.jpg 



1. เปเล่

นี่คือหมายเลข 10 ที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนัง เปเล่ เริ่มต้นเล่นฟุตบอลกับ ซานโตส ตั้งแต่อายุ 15 และคว้าแชมป์ลีกกับสโมสรได้ถึง 10 สมัย โดยถึงแม้จะมีข้อเสนอชิ้นงามจากฝั่งยุโรปประดังเข้ามาชนิดไม่ขาดสาย แต่ ซานโตส ก็ยังอุตส่าห์รั้งสมบัติล้ำค่าของพวกเขาเอาไว้กับทีมได้ถึง 18 ปี เปเล่ เลี้ยงบอลได้อย่างคล่องแคล่ว และผ่านบอลได้อย่างเฉียบขาด นอกจากนี้ เขายังเร็วจัด และเล่นลูกกลางอากาศได้ดีอีกด้วย ไข่มุกดำ ทำสถิติเหนือมนุษย์ด้วยการยิงไปถึง 1281 ประตู ตลอด 1363 เกมในอาชีพนักเตะ รวมทั้งยังทำแฮตทริกได้ถึง 92 ครั้ง ปี 1958 เปเล่ พา บราซิล ผงาดขึ้นครองแชมป์โลกครั้งแรกในฐานะนักเตะโนเนมอายุเพียง 17 ปี และมีส่วนไม่น้อยในการพา ขุนพลเมืองกาแฟ คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 ในปี 1962 ซึ่งเขาได้รับบาดเจ็บ และชวดลงเล่นในรอบลึกๆ อย่างไรก็ตาม เปเล่ คือกลจักรสำคัญอย่างแท้จริงในการพา เซเลเซา ผงาดครองแชมป์โลกสมัยที่ 3 ในปี 1970 ที่เม็กซิโก โดยในทีมชุดเดียวกันยังมีนักเตะฝีเท้าฉกาจอย่าง แจร์ซินโญ่ ทอสเทา ริเวลิโน่ และคาร์ลอส อัลแบร์โต้ อัดแน่นอยู่อีกด้วย เปเล่ เป็นผู้ยิงประตูที่ 100 ในฟุตบอลโลก ของ บราซิล ในนัดชิงดำที่พวกเขาฉีก อิตาลี เป็นชิ้นๆ 4-1 และเป็นผู้ไหลบอลให้ คาร์ลอส อัลแบร์โต้ กดประตูที่ขึ้นชื่อว่า เป็นประตูที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล ซึ่งเกิดขึ้นจากการประสานงานภายในทีม โดยก่อนที่บอลจะพุ่งกระทบตาข่ายนั้น มันถูกถ่ายต่อกันมาถึง 9 ทอด โดยหนังสือพิมพ์ของอังกฤษนิยามความสุดยอดของ เปล่ เอาไว้ว่า ชื่อของ เปเล่ สะกดอย่างนี้ G-O-D ใช่มั้ย ซึ่งแค่นี้ก็น่าจะบ่งบอกถึงความสุดยอดของ ราชาลูกหนังโลกตลอดกาล ได้มากพอแล้ว
www.bongdaso.com

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์