ย้อนรอยปืนโต ตอนที่ 9-10

ตอนที่ 9 - 10

ตอนที่ 9 ก้าวแรกของ ดิ อาร์เซนอล

           เกมสุดท้ายของวูลวิช อาร์เซนอลใน วูลวิช เริ่มในวันเสาร์ที่ 26 เม.ย 1913 กับมิดเดิ้ลสโบรช์ โดยเสมอกันไป 1-1 หลังจากนั้นชื่อ “วูลวิช” ที่นำหน้าสโมสรก็ถูกตัดไป โดยในหนังสือประวัติครบรอบ 50 ปีของฟุตบอลลีกกว่าว่า “สโมสรอาร์เซน่อลใหม่ถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 3 เมษายน 1914 ได้รับอนุญาติให้ตัดชื่อวูลวิชทิ้งไป และให้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “ดิ อาร์เซน่อล” บ้านใหม่ของอาร์เซน่อลมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ในเวลา 4 เดือน ด้านเหนือถูกถมด้วยดินสูงขึ้นกว่าเดิม 11 ฟุต ทางด้านใต้ลดระดับลง 5 ฟุต สร้างอัฒจันทร์ขึ้นใหม่ นอร์ริสทุ่มเงินอีก 80,000 ปอนด์ รวมทั้งกู้เงินจากธนาคารอีกจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อทำการแข่งขันในไฮบิวรี่นัดแรกเมื่อ 6 ก.ย 1913 สามารถเก็บเงินได้ถึง 125,000 ปอนด์ เงินที่ได้มาอาจจะไม่พอที่จะจ่ายให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้าง จึงได้ทำสัญญาผ่อนจ่ายจากเปอร์เซนต์ที่ได้จากเงินรายได้ค่าเข้าชมทุกอาทิตย์ ซึ่งในเกมแรกนั้นเป็นการพบกับ ไลเชสเตอร์ ฟอสส์ และเดอะเรดส์ก็ชนะไป 2-1 โดย “แอนดี้ ดีไวน์” นักเตะทีมชาติสก๊อตยิงประตูแรก และจอร์จ โจบี้กองกลางทีมเกิดเจ็บ “จอร์จ ฮาร์ดี้” เทรนเนอร์ ได้หามออกมาแต่ตอนนั้น ไฮบิวรี่ ไม่มีห้องแต่งตัวและไม่ได้เดินท่อน้ำ ฮาร์ดี้พาโจบี้ไปบ้านพักนักบอลใกล้ ๆ โดยยืมรถเข็นของคนส่งนมนาม “เดวิด ลิวส์” มาเข็นพาโจบี้ไป และลิวส์ ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้อาร์เซนอลในอีก 20 ปีต่อมา

              อาร์เซน่อลเล่นได้ดีพอควรในปีที่ตกไปอยู่ดิวิชั่น 2 จบด้วยอันดับ 2 แต่ก็พลาดการเลื่อนชั้นเพียงประตูเฉลี่ยที่สู้แบร๊ดฟอร์ด ปาร์ค อาเวนู ไม่ได้ คนที่ช็อคที่สุดคือ “เฮนรี่ นอร์ริส”  เขาหวังเป็นอย่างมากว่าปืนโตจะได้เลื่อนสู่ดิวิชั่น 1 และเกือบทำได้

              ในเกมแรกที่ไฮบิวรี่เป็นวันเดียวกับที่ยุโรปเข้าสู่สงคราม ทำให้วงการฟุตบอลซบเซาลงไปอย่างมาก ในนักบอลอาร์เซน่อลในยุคนั้น มีไม่น้อยที่มีความสามารถเช่น “โจ ชอว์” กองหลัง ซึ่งเล่นให้ปืนโตในยุคสงคราม และได้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม และมีส่วนในความสำเร็จของอาร์เซน่อลในเวลาต่อมา “บ๊อบ เบนสัน” คู่หูเขารับใช้ชาติและกลับมาร่วมทีมแต่ฟอร์มก็ตกไป ในเดือนก.พ. 1916 กับเรดดิ้ง เขาลงเล่นแทน ชอว์ แต่เล่นได้ไม่ดีนักทำให้ถูกเปลี่ยนตัวออก หลังจากนั้นไม่กี่นาทีในห้องแต่งตัว “บ๊อบ เบนสัน” ก็เสียชีวิตลง ในอ้อมแขนของ “จอร์จ ฮาร์ดี้” เรื่องของเบนสันเป็นเรื่องเศร้าเรื่องหนึ่งในหลายเรื่องที่เกิดขึ้นกับเดอะกันเนอร์ สงครามบั่นทอนความหวังของทีม ในปลายฤดูกาล 1914-15 “จอร์จ มอร์เรลล์” ถูกไล่ออกเพื่อสงวนเงินไว้ ในปี 1918 สโมสรมีหนี้สินถึง 60,000 ปอนด์ “เฮนรี่ นอร์ริส” กำลังอยู่ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว 5 ปีกับอาร์เซนอล เขาแทบไม่มีอะไรนอกจากความล้มเหลว ในวันเสาร์ที่ 24 เม.ย. 1915 เป็นเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล พบกับ น๊อตติ้งแฮม ฟอร์เรสต์ ที่ไฮบิวรี่ เป็นเกมสุดท้ายของ “จอร์จ มอร์เรลล์” ในการคุมอาร์เซน่อล ทุกคนร่วมใจกันทำให้อาร์เซน่อลถล่ม ฟอร์เรสต์ไป 7-0 และนั่นเป็นเกมสุดท้ายในดิวิชั่น 2 พวกเขาเลื่อนมาสู่อันดับ 5

ตอนที่ 10 บทบาทของนอร์ริส ปืนโตเลื่อนชั่น!!

            เมื่อสงครามยุติลงในปี 1918 วงการบอลของอังกฤษก็สั่นคลอน เพราะมีนักบอลจำนวนไม่น้อยที่เสียชิวิตในสงคราม ซึ่งปืนโตก็ได้รับผลนั้นเช่นกัน  เมื่อเริ่มสงครามอาร์เซน่อลดิ้นรนขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 มีหนี้สินถึง 60,000 ปอนด์ จน นอร์ริส ต้องทุ่มเงินให้กับทีมอีก 125,000 ปอนด์ นักบอลที่รอดจากสงครามเริ่มแก่ตัวลง ไม่มองไม่เห็นอนาคตของทีม แต่ไม่ว่าจะมีอุปสรรคแค่ไหน นอร์ริส ก็มุ่งมั่นที่จะให้อาร์เซน่อลกลับสู่ดิวิชั่น 1  ในปี 1914-15 อาร์เซน่อล จบด้วยอันดับ 5 ในดิวิชั่น 2 ซึ่งในปี 1915 ก่อนสงครามสองทีมจากลอนดอน คือ สเปอร์และเชลซี จบฤดูกาลด้วยอันดับ 19 และ 20 ในขณะที่แมนฯ ยูฯ จบด้วยอันดับที่ 18 มีแต้มมากกว่าเชลซี 1 คะแนน และในปี 1919 ทางลีกเพิ่มทีมในดิวิชั่น 1 จาก 20 เป็น 22 ทีม การเพิ่มทีมในดิวิชั่น 1 มีมาหลายครั้งโดยกฎการเลื่อนชั้นคือการลงคะแนนเลือกทีมที่ตกชั้นมากับแชมป์ดิวิชั่น 2 ทำให้มีการถงเถียงกันโดยเฉพาะกรณีแรก นอร์ริส ได้พยายามยกเหตุผลมาเกลี้ยกล่อม “จอห์น แม็คเคนน่า” ประธานลีก ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทและเจ้าของสโมสรลิเวอร์พูล เพราะต้องการให้มีการโหวตทีมที่ตกชั้นขึ้นมาเล่นใหม่ แทนที่จะให้คงอยู่โดยอัตโนมัติ ในที่สุดข้อเสนอแบบลับๆ ก็ได้รับการยอมรับ ซึ่งนอร์ริสได้แอบตกลงกับสโมสรอื่นๆ ให้ลงคะแนนเลือกทีมของตนในการเลื่อนชั้น ซึ่งทำให้ดาร์บี้และเปรสตัน ได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 และปัญหาก็ตามมาเมื่อ แม็คเคนน่า เสนอชื่ออาร์เซน่อลให้เข้าสู่ดิวิชั่น 1 เพราะรับใช้ลีกมายาวนานถึง 15 ปี นานกว่าสเปอร์มาก ซึ่งเป็นเหตุผลที่ไร้สาระอย่างมาก เพราะวูฟส์ อยู่ในดิวิชั่น 1 นานกว่าอาร์เซนอลถึง 4 ปี ซึ่ง “ชาร์ลี โรเบิร์ตส์” ประธานสโมสรสเปอร์ไม่ทราบข่าวนี้ล่วงหน้าแต่อย่างใดและเมื่อผลโหวตออกมาอาร์เซน่อลได้รับคะแนนไป 18 คะแนน สเปอร์ได้ 8 ,บาร์นสลีย์ 5, วูฟส์ 4,ฟอร์เรสต์ 3, เบอร์มิงแฮม 2 และฮัลล์ 1 ทำให้อาร์เซน่อลได้กลับสู่ดิวิชั่น 1 ทางกลางข้อครหาต่าง ๆ ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นที่กล่าวขวัญกันมากว่า อาจมีการให้ซองใต้โต๊ะกัน แต่ก็ไม่มีหลักฐานเพียงพอ และด้วยความอยุติธรรมในปีนั้นสเปอร์กลับสู่ไวท์ ฮาร์ท เลน และด้วยความมุ่งมั่นในปี 1919-20 สเปอร์ทำประตูได้ 102 ประตุ ชนะถึง 32 นัด กลับสู่ดิวิชั่น1 อีกครั้งในปีต่อมาก็จบด้วยอันดับ 6 พร้อมถ้วยแชมป์ FA Cup ซึ่งในช่วงนั้นสเปอร์เป็นทีมแนวหน้าของลอนดอนเหนือ และในปี 1928 ก็มีข้อพิพาทระหว่างอาร์เซน่อลกับสเปอร์เมื่ออาร์เซน่อลแกล้งแพ้ใน 2 นัดสุดท้ายเพื่อส่งสเปอร์กลับสู่ดิวิชั่น 2 โดยพ่ายปอร์ตสมัธ 2-0 (ได้ที่ 20)และพ่ายแมนฯ ยูฯ 1-0 (ได้ที่ 18)ซึ่งทั้ง 2 ทีมมีแต้มเหนือสเปอร์หนึ่งแต้ม ซึ่งสเปอร์แข่งจบไปแล้วก่อนหน้านี้ 1 อาทิตย์ ทำให้อาร์เซนอลกำหนดชะตาชีวิตของสเปอร์ได้ถ้าหากพวกเขาเสมอ 1 ใน 2 นัดนั้น สเปอร์จะรอดพ้นการตกชั้น แต่ก็ไม่แน่ชัดว่าเป็นการกลั่นแกล้งเนื่องจากแต้มแต่ละทีมห่างกันไม่มาก และอาร์เซน่อลอยู่ในลับดับที่ 19 ห่างจากสเปอร์ 3 แต้ม อยู่ในตำแหน่งที่เสี่ยงเพื่อการนี้  หลังจากปี 1919 อาร์เซน่อลก็ไม่เคยประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง แต่ยังอยู่ในดิวิชั่น 1 จนเป็นทีมที่อยู่ในดิวิชั่น 1 นานเทียบเท่าซันเดอร์แลนด์ (1890-1958 รวม 68 ปี) ซึ่งอาร์เซน่อลตามทันในปี 1986-87 



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์