โรแบร์โต้ บักโจ้..นักเตะที่ชาวอิตาเลี่ยนรักมากที่สุด


โรแบร์โต้ บักโจ้..นักเตะที่ชาวอิตาเลี่ยนรักมากที่สุด





       ถ้าถามถึงนักเตะที่ผมชอบ ต้องบอกว่า ชอบทุกคนที่ใส่ชุดสีแดง
       บนเสื้อที่มีรูปนก liverbird เป็นสัญญลักษณ์สโมสร


       ถ้าไม่ใช่คนชุดแดง โรแบร์โต้ บักโจ้ เป็นคนนอกคนแรกๆที่ชอบ


       ผมนึกถึงโรแบร์โต้ บักโจ้ หลังดูข่าวเมื่อหลายวันก่อนครับ
       เป็นข่าวบักโจ้มาเป็นประธานทำบุญที่ลาว...ทำบุญในพิธีการทางศาสนาพุทธ ที่เจ้าตัวนับถือ
       เคยมีข่าว(บ่อยๆ)ว่า บักโจ้มาเมืองไทยเพื่อสวดมนต์ในวัด รวมทั้งแวะให้หลวงพ่อคูณเคาะหัว แต่เจ้าตัวมักจะเลี่ยงที่จะมาประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่บ้าบอล เนื่องจากดังจนยากที่จะหาความสงบทำกิจวัตรศาสนาพุทธได้สะดวก





       โรแบร์โต้ บักโจ้ กลายเป็นนักเตะที่โลกรู้จัก ในฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลีเป็นเจ้าภาพ ซึ่งเขาเป็นเพียงดาวรุ่ง ที่ถูกเรียกตัวมาติดทีมชาติ และสามารถสร้างความตกตะลึงให้กับชาวโลกตั้งแต่ในรอบแรก ด้วยลีลาการลากโซโล่ฝ่ากองหลังทีม เชกโกสโลวาเกีย จากครึ่งสนามเข้าไปทำประตูให้อิตาลีได้ด้วยความสามารถเฉพาะตัวล้วนๆ
       ประตูนี้ ทุกวันนี้ยังฉายให้ชาวอิตาลีชมทุกวัน...
       และเป็นประตูแจ้งเกิดให้โลกรู้จักเจ้าเปียทองคำ คนนี้




       โรแบร์โต้ บักโจ้ เกิดในครอบครัวที่รักฟุตบอล และเริ่มหัดเล่นฟุตบอลตั้งแต่เด็ก โดยสร้างผลงานที่ดีตั้งแต่เยาว์วัย ด้วยการเป็นดาวซัลโวประจำโรงเรียน
       ผลงานยอดเยี่ยมในระดับโรงเรียน ทำให้สโมสร วิเชนซ่า ในเซียรี่ย์ ซี เชิญชวนไปทดสอบและเซ็นสัญญาเป็นนักเตะในปี 1982 ทำให้เขาได้รับการเลือกให้ลงสนามเพียงเกมเดียว และปีถัดมา ก็ได้ลงสนามมากขึ้นเป็น 6 นัด โดยสามารถทำได้ 1 ประตู
       ฤดูกาล 1984-1985 ในวัย 18 บักโจ้ กลายเป็นตัวหลักของทีม และสามารถยิงได้ 12 ประตูจากการลงสนาม 29 นัด จนสามารถพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นสู่เซียรี่ย์ บี แต่เขาไม่สามารถช่วยทีมได้ เพราะถูกม่วงมหากาฬ ฟิออเรนตินา ทีมในเซียรี่ย์ อาร์ ดึงตัวไปร่วมทีม แต่น่าเสียดายที่ฆดูกาลแรก เขาไม่ได้รับเลือกให้ลงสนามแม้แต่เกมเดียว..
       21 กันยายน 1986 บักโจ้ในชุดสีม่วง ได้สัมผัสเกมเซียรี่ย์ อาร์เป็นครั้งแรก ในการพบกับทีมซามพ์โดเรีย และมีชื่อเป็นผู้ยิงประตูในเซียรีย์ อาร์ ในเกมเจอกับนาโปลี ในวันที่ 10 พฤษภาคม 1987 และพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมในฤดูกาลต่อมา
       ในฤดูกาล 1988-1989 บักโจ้โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม โดยยิงได้ 15 ประตูจาก 30 นัด จนถูกเรียกตัวไปติดทีมชาตินัดแรกในเดือนพฤศจิกายน 1988 ในนัดพบกับฮอลแลนด์ และในฤดูกาลนี้ เขาได้ลงเล่นทีมชาติ 3 นัด ทำได้ 1 ประตู
        ฤดูกาล 1989-1990 บักโจ้ พาทีมเข้าถึงนัดชิงยูฟ่า คัพ แต่ฟิออเรนตินา แพ้ม้าลาย ยูเวนตุส ในนัดชิงชนะเลิศ


        แต่นั่นคือเส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ของบักโจ้
       เพราะในปี 1990 ยูเวนตุส ตัดสินใจซื้อตัวบักโจ้ จากฟิออเรนตินา ในราคา 7.5 ล้านปอนด์
        แม้สโมสรจะได้รับค่าตัวที่ถือว่าสูงมาก ในขณะนั้น แต่ก็ทำให้เกิดการจลาจลย่อยๆขึ้นในเมืองฟลอเรนซ์ เพราะชาวเมืองไม่พอใจที่สโมสรขายนักเตะสุดที่รัก ซึ่งว่ากันว่า ชาวฟลอเรนซ์ถือว่าบักโจ้เป็นเหมือน พระเจ้า ออกไปจากทีม
       บักโจ้ต้องออกมาบอกแฟนบอลเหล่านั้นว่า การย้ายทีมไปสู่ยูเวนตุสนั้นได้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว ทำให้แม้แฟนบอลชาวฟลอเรนซ์ไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีแฟนบอลคนไหนโกรธกระทำของบักโจ้เลย
       และปีนั้นเอง ที่บักโจ้เล่นฟุตบอลโลกครั้งแรก โดย 2 นัดแรกที่อิตาลีพบออสเตรีย และ อเมริกา เขาเป็นแค่ตัวสำรอง
        กระทั่งในเกมที่ 3 เมื่ออิตาลี พบกับ เชคโกสโลวาเกีย กุนซือ วิซีนี่ ก็ตัดสินใจให้บักโจ้ลงสนาม และเขาคือผู้ทำประตูที่สวยที่สุดด้วยการลากเลื้อยจากกลางสนามไปยิงประตู


       ฤดูกาล 1992-1993 เป็นปีที่สุดยอดของเขากับยูเวนตุส โดยลงเล่นในลีก 27 นัด ยิงได้ 21 ประตู พร้อมพาทีมเป็นแชมป์ยูฟ่าคัพ ขณะที่เกียรติยศส่วนตัว บักโจ้ ได้รับรางวัล World Footballer of the Year จากฟีฟ่า และรางวัล European Footballer of the Year จากยูฟ่า



        บักโจ้..เป็นนักเตะอิตาลีคนเดียวที่เล่น 3 สโมสรยักษ์ใหญ่...
       เนื่องเพราะในปี 1995-1996 หลังจากเป็นแชมป์สคูเด็ตโต้กับยูเวนตุสในปี 1994-1995 บักโจ้ช๊อก แฟนบอลยูเวนตุส โดยปฏิเสธที่จะต่อสัญญาใหม่ พร้อมย้ายไปร่วมทีมปีศาจแดงดำ เอซี มิลาน ของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ เป็นประธานสโมสร ที่มี คาเปลโล่ เป็นกุนซือ พร้อมช่วยให้เอซี มิลาน คว้าแชมป์สคูเด็ตโต้มาครองในปี 1996 และเป็นนักฟุตบอลอิตาลีคนแรกที่ได้แชมป์สคูเด็ตโต้ 2 ปีติดกับ 2 สโมสร


         ปี 1997 เมื่อ อาริโก้ ชาคกี้ มาแทนที่คาเปลโล่ที่มิลาน บักโจ้ ก็ย้ายมาร่วมทีมโบโลญญา และทำได้ถึง 22 ประตู ในการลงเล่น 30 เกม จึงไม่น่าแปลกใจที่ เซเซเร่ มัลดินี่ เรียกบักโจ้กลับมาติดทีมชาติอิตาลีชุดไปลุยศึกฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส และเขาทำผลงานได้ดี ด้วยการพาอิตาลีเข้ารอบ  8 ทีมสุดท้ายก่อนพ่ายเจ้าภาพ ฝรั่งเศส ในการยิงจุดโทษ
        เซเซเร่ มัลดินี่ ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับบักโจ้ว่า ไม่มีนักฟุตบอลอิตาลีคนไหนอีกแล้วที่จะทำในสิ่งที่โรบี้ทำได้



       หลังจบฟุตบอลโลก 1998 บักโจ้ สร้างความตะลึงให้วงการลูกหนังอิตาลี เมื่อย้ายจากโบโลญญ่าไปร่วมทีมอินเตอร์ มิลาน ที่มีมาร์เซโล ลิปปี เป็นโค้ช และเขาลงเล่นไม่มากนักกับคู่หูที่ชื่อ คริสเตียน วิเอรี่ หากแต่อยู่ในสถานะเป็นพี่เลี้ยงให้กับ โรนัลโด้ ศูนย์หน้าคนใหม่ชาวบราซิล
       ที่อินเตอร์ มิลาน บักโจ้ได้เล่นแค่ 12 เกม แต่ทำได้ถึง 9 ประตู และ 2 ใน 9 ประตู คือการทำให้อินเตอร์ มิลาน ชนะปาร์ม่า ในการเพลย์ออฟ หาทีมไปเล่นยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก


       ในปี 2000 บักโจ้ย้ายทีมไปเล่นบอลอาชีพเป็นสโมสรสุดท้ายร่วมกับ เบรสชา และแจ้งเกิดอีกรอบ โดยลงเล่น 95 เกม และยิงได้ 45 ประตู
       2003-2004 เขาลงเล่นอีก 26 นัด และทำประตูได้ถึง 12 ประตู ในวัย 37 ปี และเป็นนักเตะที่ทำประตูในเซียรี่ย์ อา ได้เกิน 200 ลูก
        วัยขนาดนั้น แฟนบอลชาวอิตาเลี่ยน เรียกร้องให้ “อิล แทรป” โจวานเน่ ตราปัตโตนี่ เรียกบักโจ้ติดทีมชาติไปเตะฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมนี แต่กุนซือปฏิเสธ และอิตาลี ตกรอบ 8 ทีมด้วยการพ่ายทีมจากเอเชียอย่างเกาหลีใต้
         อย่างไรก็ตาม ตราปัตโตนี่ กลับมาบอกว่าต้องการให้บักโจ้ไปร่วมศึกยูโร 2004 แต่เขาก็ปฏิเสธ และตัดสินใจเล่นเกมอุ่นเครื่องกับสเปน เป็นนัดสุดท้ายในทีมชาติ
        “ต้องขอขอบคุณหัวหน้าโค้ช และสมาคมฟุตบอลอิตาลี ที่ให้เกียรติขนาดนี้ การได้ลงเตะรับใช้ทีมชาติคือความหมายที่ใหญ่หลวงสำหรับนักเตะทุกคน”  บักโจ้ กล่าวในเกมสุดท้ายในเสื้อสีน้ำเงินหมายเลข 10
        “การกลับมาสวมเสื้อทีมชาติอิตาลีอีกครั้ง ในแมทช์อุ่นเครื่องกับทีมชาติสเปน ถือเป็นการให้เกียรติอย่างสูงสุดต่อนักเตะที่เคยรับใช้ชาติ ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมมานานและกำลังจะจากไปอย่าง โรแบร์โต้ บักโจ้” ทราปัตโตนี่กล่าว





        อย่างไรก็ตาม ทีมชาติ ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องน่าจดจำของบักโจ้
       แม้จะเล่นฟุตบอลโลก 3 สมัย คือ 1990 ที่อิตาลี 1994 ที่สหรัฐ และ 1998 ที่ฝรั่งเศส แต่ทั้งหมดก็เป็นฝันร้ายของบักโจ้
       ปี 1990 อิตาลีแพ้อาร์เจนติน่าในรอบรองชนะเลิศด้วยการดวลจุดโทษ ปี 1994 อิตาลี แพ้จุดโทษต่อบราซิลในนัดชิงชนะเลิศ และบักโจ้ คือผู้ยิงจุดโทษพลาด
       ปี 1998 อิตาลีก็ตกรอบด้วยการพ่ายแพ้ฝรั่งเศสด้วยการยิงจุดโทษ..อีกครั้ง
        ปี 2002 ฟุตบอลโลกในเอเชีย เป็นครั้งแรกที่ชาวอิตาเลี่ยน ขอให้ โจวานเน่ ทราปัตโตนี่ เรียกบักโจ้ไปเล่นฟุตบอลโลก แต่เจ้าตัวรู้ดีถึงสังขาร ..จึงปฏิเสธทั้งฟุตบอลโลก 2002 และยูโร 2004


       บักโจ้ลงสนามนัดสุดท้ายในชีวิตค้าแข้งเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2004 โดยเบรสชา ออกไปเยือนเอซี มิลาน ที่สนามซาน ชิโร โดยบักโจ้ได้ลงเล่น 88 นาที ก่อนจะโดนเปลี่ยนตัวออกไป ท่ามกลางแฟนบอลในสนามกว่า 80,000 คน ที่ลุกขึ้นและปรบมือด้วยน้ำตานองหน้าให้บักโจ้ขณะเดินออกจากสนาม
       เป็นการอำลาสนามที่แฟนบอลทั้งอิตาลีน้ำตาไหล..
       บักโจ้ เล่นเซียรี่ย์ อาร์ ทำได้ 205 ประตู ติดอันดับ 5 ของผู้ที่ทำประตูในระดับลีกสูงสุดตลอดกาล
       ติดทีมชาติทั้งหมด 56 เกม ทำได้ 27 ประตู
       และเป็นนักเตะที่ชาวอิตาเลี่ยนรักมากที่สุด ...






เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์