[บทความ]ปืนโตในโลกแห่งทุนนิยม


หลังจากเก็บตัวเงียบมานาน เสี่ยหมี โรมัน อบราโมวิช ก็ออกมาประกาศชัดแล้วว่าจะขอกลับมาสร้างความฮือฮาอีกครั้ง ด้วยการกระโจนเข้าสู่ตลาดซื้อขายนักเตะอย่างเต็มตัวในช่วงซัมเมอร์ที่จะถึงนี้..


โดยงานนี้ทางเสี่ยหมี ก็พร้อมจะเทงบให้ พี่แจ้ เต็มที่เป็นจำนวนทั้งสิ้น 100 ล้านปอนด์ เพื่อหวังนำไปใช้ดูดแข้งซูเปอร์สตาร์ระดับเอกอุ อาทิเช่น อเกวโร่ กุน, เฟร์นานโด ตอร์เรส, ดั๊กลาส ไมค่อน และ บาสเตียน ชไวสไตน์เกอร์ ให้มาอยู่ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในฤดูกาลหน้าให้จงได้ ซึ่งแน่นอนว่าอภิมหาโปรเจ็คท์ของ เสี่ยหมี ในครั้งนี้ จะถือเป็นเหมือนการถ่ายเลือดทีมที่หลายๆ คนตั้งข้อครหาว่า นี่คือทีมของ มูรินโญ่ ออกไปจากสารบบความคิดเสียที

เช่นเดียวกับ ลิเวอร์พูล ที่คงจะเกิดความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างแน่นอนหลังจากนี้ โดยหลายคนจิ้มไปที่ตัวกุนซือ ราฟาเอล เบนิเตซ เป็นลำดับแรก แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับทีม หงส์แดง สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ เม็ดเงินอันน้อยนิดในคลังของทีมดังแห่งถิ่น แอนฟิลด์ คงจะได้มีการหยิบจ่ายใช้สอยในส่วนต่างๆ อย่างไม่ต้องสงสัย

ในขณะที่คู่ปรับทางประวัติศาสตร์อย่าง แมนฯ ยูฯ นั้นดูจะมีความพร้อมในการจับจ่ายใช้สอยนักเตะทุกปีอยู่แล้ว เพียงแต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของทีม ปีศาจแดง ในตอนนี้คงจะหนีไม่พ้นกลุ่ม เร้ด ไนท์ ที่พยายามรวบรวมเงินเข้าเทคโอเวอร์สโมสรที่พวกเขารัก ออกจากอ้อมอกของนักธุรกิจจอมละโมบอย่าง มัลคอล์ม เกลเซอร์ ให้ได้ ซึ่งถ้าทำสำเร็จ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะกลายเป็นสโมสรที่ถูกบริหารงาน และตัดสินใจในเรื่องต่างๆ โดยกลุ่มแฟนบอลพันธุ์แท้อย่างแท้จริง เฉกเช่นเดียวกับ เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า

นั่นคือการขยับของสโมสรต่างๆ ที่คงต้องบอกว่ามันเป็นไปตามวิถีของโลกฟุตบอลในยุคทุนนิยม

และถ้าเราใช้บรรทัดฐานนี้เป็นตัววัด เราคงต้องบอกว่า ปืนใหญ่ อาร์เซน่อล คือทีมแห่งอุดมการณ์ทีมสุดท้าย ที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลกลูกหนังยุค โมเดิร์น อย่างแท้จริง อาร์แซน เวนเกอร์ ยังยึดนโยบายปั้นดาวรุ่งขึ้นมาประดับวงการอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และไม่น่าเชื่อว่ามันเกิดขึ้นกับทีมที่เล่นในศึก พรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นลีกที่ผลตอบแทนทางการเงิน และความสำเร็จเปรียบได้กับพระเจ้า และความผิดพลาดทางการบริหารงานเพียงแค่เสี้ยววินาที อาจส่งผลให้เกิดความล้มเหลวเท่ากับหนี้กองโต ที่อาจนำยุคมืดมาสู่สโมสรได้ ไม่ต่างจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในช่วงปี 2003-2004

ปัจจุบันทัพ เดอะ กันเนอร์ส รั้งอยู่บนอันดับ 2 ของตารางศึกฟุตบอลลีกเมืองผู้ดี โดยมีแต้มตามหลัง แมนฯ ยูฯ เพียงแค่ 2 คะแนนเท่านั้น ในขณะที่ถ้วย บิ๊กเอียร์ ที่โค้ชอย่าง เจ้าป้า นั้นโหยหามานานแสนนาน ก็ทะลุไปได้ถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายแล้วเป็นที่เรียบร้อย น่าสนใจที่เดียวว่าหลังจากจบฤดูกาลนี้ไป บทสรุปของ อาร์เซน่อล จะได้รับการถูกบันทึกขีดเขียนไว้ว่ายังไงบ้าง

เป็นไปได้มั้ยว่าเมล็ดพืชที่ เวนเกอร์ ลงแรงหว่านไว้มานานหลายปี จะมาผลิดอกออกผลเอาก็ปีนี้ เป็นไปได้มั้ยว่าบรรดานักเตะลูกกรอกคะนองของ อาร์เซน่อล ใกล้ที่จะเดินทางเข้ามาสู่จุดพีคที่สุดทางด้านอาชีพค้าแข้งของตัวเองเต็มที และจะส่งผลให้เกิดความลงตัวถึงขีดสุดของทัพ เดอะ กันเนอร์ส เหมือนกันทีมชุดไร้พ่าย หรือ ดิ อินวินซิเบิ้ล ที่นำมาโดย วิเอร่า, ปิแรส, อองรี, ลุงเบิร์ก, คีโอว์น และ วิลตอร์ ในฤดูกาล 2003-2004 พร้อมกับการเข้าสู่นักเตะในตำนานชุดใหม่อย่าง ฟาเบรกาส, อาชาวิน, นาสรี่ย์, วัลค็อตต์, แฟร์มาเล่น และ เบนท์เนอร์ (ใช่...เบนท์เนอร์ นั่นแหละ)

ประวัติศาสตร์เคยขีดเขียนให้สโมสรที่มีเด็กปั้นล้นทีมอย่าง อาแจ็กซ์ ก้าวขึ้นไปเป็นเจ้ายุโรปมาแล้วในช่วงกลางยุค 90 ขณะเดียวกัน ประวัติศาสตร์ก็เคยขีดเขียนให้ โททั่ลฟุตบอล อันลือลั่นของ ฮอลแลนด์ เป็นเพียงได้แค่รองแชมป์โลก และเคยยกมงกุฎ เวิลด์ คัพ ให้กับทีมแท็คติกน่าเบื่อๆ อย่าง เยอรมัน หรือ บราซิล ชุดแชมป์ปี 1994 มาแล้ว นี่ยังไม่รวมถึงทีมในระดับสโมสรอย่าง ปอร์โต้ ยุคของ มูรินโญ่ หรือยุค อินเตอร์ มิลาน ครองความยิ่งใหญ่ด้วยแท็คติก คาเตนัคโช่ (ตีหัวเข้าบ้าน) และถ้าไม่นับ บาร์เซโลน่า ของ เป็ป กวาร์ดิโอล่า มันมีแนวโน้มด้วยว่าฟุตบอลสมัยใหม่กำลังจะยกยอความสำเร็จให้กับโค้ชที่เน้นผลการแข่งขันที่แน่นอนอย่าง มูรินโญ่, คาเปลโล่, ราฟา หรือ เปเยกรินี่

บาร์ซ่า พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความสำเร็จและความสวยงาม เป็นสิ่งที่มาคู่กันได้ แต่ถ้ามองกันที่ค่าเฉลี่ยของทีมที่มีสิทธิ์จะคว้าแชมป์ เราคงปฎิเสธไม่ได้ว่าทีมที่เล่นฟุตบอลเน้นแท็กติกแน่นอน มีเปอร์เซ็นต์ที่จะเข้าวินได้มากกว่าทีมที่เล่นสวยงาม และใครจะรู้ ถ้า คาเปลโล่ ยังคุม ราชันชุดขาว อยู่ บางทีเราอาจไม่ได้เห็นทัพ อาซูลกราน่า ได้เชิดชูคอเฉกเช่นทุกวันนี้ก็เป็นได้ และ เวนเกอร์ ก็เป็นตัวอย่างชั้นดีของคนที่พยายามพาทีมไปสู่จุดที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบที่สุดในทุกแง่มุมของทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง ส่วนจะทำได้แบบ กวาร์ดิโอล่า หรือไม่นั้น เราคงต้องรอดูกันอีกทีหลังจากนี้ และอาจไม่มีวันได้เห็นอีกเลย เพราะบางที ทีมชุด ดิ อินวินซิเบิ้ล อาจเป็นจุดสูงสุดของ เจ๊ใหญ่ แห่งถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม แล้ว

บางทีเหล่าสาวก เดอะ กันเนอร์ส อาจต้องยอมทำใจกับบทบาทของทีมในยุคสมัยนี้ และก้มหน้าภาคภูมิใจกับทัศนคติ และแนวทางการเล่นฟุตบอลเกมรุกที่สวยงามของทีมตัวเองต่อไป ตราบจนกว่า เวนเกอร์ จะบอกลาไปอยู่กับทีมอื่น อาร์เซน่อล อาจไม่ต่างอะไรกับทัพ อัศวินสีส้ม ของท่านนายพล ไรนุส มิเชล ที่รังสรรค์สุดยอดระบบการเล่นสวยลากไส้ที่เรียกว่า โททั่ล ฟุตบอล แต่ก็ไปได้ไม่ถึงดวงดาว และต้องถูกจดจำในฐานะทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดชุดหนึ่งของโลก ที่ไม่เคยได้รับเกียรติยศอะไรเลยเท่านั้น แต่ก็นั่นแหล่ะ ถึงคุณจะจำว่า ฮอลแลนด์ ชุดที่ดีที่สุดไม่เคยได้แชมป์โลก แต่สมองอีกซีกหนึ่งของคุณจะต้องจดจำลีลาการร่ายรำบนพื้นสนามของเหล่าขุนพล ฟลายอิ้ง ดัตช์แมน ชุดนั้นได้อย่างแน่นอน

และบางที......อาร์เซน่อล ก็อาจจำใจต้องถูกผู้คนจดจำในแบบนั้น แม้ว่าในใจผู้เขียนจะเอาใจช่วยอย่างเต็มที่ก็ตามที


ยอดขวัญ

http://www.ohokid.com/

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์